เรื่องระหว่างบรรทัด

ใครรู้ข่าวนี้บ้างเอยยยยยย…

sm56

หลังจากชื่นมื่นตาบานไปตามๆกันกับความใจบุญของรัฐ และสื่อในประเทศไทยที่ร่วมกันช่วยชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่ถูกทำให้เป็นข่าวใหญ่โตดังกระหึ่มไปทั่วโลกแล้วนั้น จิ้กจอกตัวจ้อยจึงหันมาเชื่องและเป็นเด็กดีได้ซะขนาดนี้… กระทู้นี้จึงอยากให้มาดูอีกด้านของการทำงานของ รัฐ-สื่อ ต่อสิ่งที่เกิดแทรกขึ้นมาพร้อมๆกับกระแสพี่น้องชาวโรฮิงญา เราจะได้รู้กันว่าคำว่า”สิทธิมนุษยชน”ที่พวกใส่เนกไทเข้าไปนอนในสภาชอบพูดกันนั้น เป็นเพียงลมปากเหม็นๆหรือไม่ ?

ก่อนอื่น ขอสกัดพวกเกรียนๆ ที่เด่วจะมาดรามงดราม่าบอกว่าแอดมิ้นยุยงสร้างความแตกร้าวในสังคมอีก (โธ่…แอดมิ้นไม่ใช่ยิวนะคร๊าบบบบ)

สิ่งที่แอดมินต้องการ

— ต้องการให้อ่านจนจบ อย่าคอมเมนต์ถ้ายังอ่านไม่จบ เบื่อ…

— อยากให้พวกเราได้ใช้สติปัญญาคิด ว่ามันมีอะไรทะแม่งๆชอบกลใช่หรือไม่ ทำไมข่าวถึงไม่ใหญ่ ดั่งพลุระเบิดเหมือนกรณีครูพุทธถูกยิง

— กรณีที่เกิดขึ้น ต้องบอกตรงๆว่า คุณครูทั้งสองท่าน (ครูสมศักดิ์ และครูชลธี) กลายเป็นความโชคร้ายและโชคดีพร้อมๆกัน โชคร้ายที่ครอบครัวของครูทั้งสองและเราได้สูญเสีย 2 คุณครูที่ทำงานอย่างเสียสละในพื้นที่อันตราย โชคดีคือทำให้ประชาชนที่ยังไม่เป็นเหยื่อของอำนาจมืดนี้ ได้ตื่นตัว และใช้พุทธิปัญญา(การคิดเองเป็น) ไม่ตามกระแส ไม่ตามสื่อ คิดเองเป็นว่า มันต้องมีอะไรๆผิดปกติเเล้วแน่ นี่มันคงไม่ใช่แค่เพราะเรื่องโจรชั่วอ้างศาสนาไม่กี่คนที่อยากแบ่งแยกดินแดน และไม่ใช่อย่างที่รัฐพยายาม”บังคับ”ให้เรารู้แน่นอน

— กรณีนี้ เหมือนเป๊ะกับกรณีครูสมศักดิ์ ขวัญมา (ครูของแอดมิ้นเอง ถูกยิง 11 ธันวา 55) คือถูกยิงขณะกำลังจะรับประทานอาหารเที่ยง บทเรียนจากครูสมศักดิ์ ไม่ทำให้รัฐบาลเข้มงวดมากขึ้นเลยหรือครับ หรือยังมีโรงเรียนที่รัฐบาลเข้าไม่ถึงอีกหรือไง ในเมื่อพวกท่านตั้งด่าน ที่นับวันนับใหญ่ขึ้นๆ กินที่ดินชาวบ้าน พื้นที่ถนน ซึ่งจะเป็นค่ายทหารเเล้ว ทั้งยังเต็มไปหมดทั่วพื้นที่สามจังหวัด ทุกซอกทุกมุม แล้วไอกล้องวงจรปิด เรือบัลลูน ราคาล้านๆบาท ซื้อมาให้หมาเห่าเล่นหรือไงครับ

— คราวนี้จะบอกว่าใครยิงครูเอย โจรอีกไช่ไหม ใช่สิ พวกท่านน่ะ(รัฐบาล)ดีเลิศประเสริญศรี ไร้มลทินนี่ การตัดสินแบบทันควันแบบนี้ โดยเจ้าหน้าอ้างว่าโจรมาสร้างสถาณการณ์ เป็นการ “ตัดบท” อย่างแนบเนียน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจตามนั้น แทนที่จะสืบข้อมูล หลักฐานอะไรให้ชัดเจนเสียก่อน

— การที่ครูชลธี ซึ่งเป็นมุสลิม ถูกยิง เป็นการตอกย้ำว่า สถานการณ์ใต้ ไม่ใช่”ความขัดแย้งทางศาสนา”อย่างแน่นอน ดังนั้น สื่อทั้งหลาย อย่าหากินกับวาทกรรมนี้อีก พวกท่านทำให้พี่น้องไทยพุทธกับพี่น้องชาวมุสลิม ที่เคยอยู่อย่างสงบ เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน แตกแยกมามากเเล้ว อย่าร่วมมือกับอำนาจมืดอีกเลย

— กรณีที่เกิดขึ้น อยากรู้รายยละเอียดต้องหาดูแหล่งข่าวที่ไม่ใช่กระแสหลักนะครับ เพราะกระแสหลักนั้นทำงานภายใต้ความต้องการของรัฐ จึงขอแนะนำเวบนี้ >> http://www.isranews.org/south-news/เรื่องเด่น/item/18975-ยิงครูดับคาโรงอาหารที่บาเจาะ-ชิงรถหนีซ้ำรอยเหตุฆ่าสองศพที่มายอ.html

จึงเรียนมาเพื่อทราบและรู้ทันถึงความชั่วที่ยังวนเวียนอยู่

ขอบคุณครับ
แอดมิ้น

***

เสียงและน้ำตาหยดสุดท้าย
ของ คุณครูชลธร เจริญชล… T T

แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮฺ และเราต้องกลับไปสู่พระองค์

นายกตุรกี โรฮิงญา และสามจังหวัด

73608_454994007892364_1773844373_n

นายกรัฐมนตรีเออร์โดฆอน แห่งตุรกี
เยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยชาวซีเรียในตุรกี ซึ่งมีขนาดใหญ่และคนมากที่สุด

คนซีเรียรักผู้นำมุสลิมคนนี้มาก
เพราะเป็นคนเดียวที่อยู่กับพวกเขาในทุกๆสถาณการณ์

……….

550699_480468378676518_310115305_n

มีมนุษย์ไม่กี่คนที่ถูกสัตว์เดรัจฉานไล่เข่นฆ่า
พวกเขาคือพี่น้องโรฮิงยา ผู้ถูกพม่าไล่ฆ่าและเผาบ้านเรือน

“ร่วมลงนามหนังสือเพื่อเรียกร้องให้ หยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน หยุดค้ามนุษย์ หยุดส่งชาวโรฮิงญากลับพม่า”

ลิงค์ >>http://www.facebook.com/events/322038061240436/322218231222419/?notif_t=plan_mall_activity

………….

การแก้ปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัด มีความจำเป็นมาก
ที่เราต้องทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง
และไม่หลีกหนีข้อเท็จจริงที่ตนเองอาจยอมรับไม่ได้

นี่คือสารคดีที่หาดูไม่ได้ในฟรีทีวี “เด็กกลางไฟใต้”

มุญาฮิดีน

สามจังหวัด คนในเครื่องแบบถือปืน อย่าไว้ใจ
ซีเรีย คนในเครื่องแบบถือปืนผูกผ้าคำปฏิญาณ เข้าไปกอดเล้ย!!

เพราะพวกเขาคือ “มุญาฮิดีน”
สหายของท่านศาสนทูต
และในพวกเขานั้น มีมลาอิกะฮฺ ร่วมอยู่

ญาซากัลลอฮฺค็อยร. รูป//The New Syria

คำนิยม หนังสือ ‘การศึกษาในอิสลาม’

คำนิยม

بسم الله الرحمن الرحيم

การศึกษาคือกระดูกสันหลังของศาสนา คือแร่ธาตุอันสำคัญยิ่งของอารยธรรมอิสลาม คือนวัตกรรมทางวิชาการที่มหัศจรรย์มากที่สุด และคือเครื่องมือที่จะนำพาอิสลามทะยานไปข้างหน้าได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ

อัลฮัมดุลิลลาฮ์ เมื่อน้องๆทีมงานวารสารสมิอฺนาฯได้เชิญชวนผมให้ช่วยเขียนคำนิยมให้หนังสือเล่มนี้เพื่อประกอบการจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เพราะเป็นหนังสือที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าซึ่งหาอ่านยากอีกเล่มหนึ่ง ในบรรดาหนังสือที่ทรงคุณค่าซึ่งหมดไปจากท้องตลาดมานานหลายปีแล้ว

เมื่อครั้งที่ผมได้รับการเชิญบรรยาย หรือการพูดคุยในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาในอิสลาม หรือแม้กระทั่งในเรื่องที่เกี่ยวกับการตัรบียะฮ์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมสนใจมาตลอดในช่วงเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา และต้องมองหาข้อมูลเพื่อประกอบการบรรยาย การเสวนาหรือการอภิปรายในเรื่องดังกล่าว ผมมักจะนึกถึงเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เสมอ เพราะผมจำได้ว่าเป็นหนังสือที่ผมชอบและเคยอ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 แต่มันได้เดินทางออกไปจากหิ้งหนังสือผมไปอยู่ที่อื่นเสียนานมากแล้ว จนจำไม่ได้ว่าพี่น้องท่านใดที่เอาไปอ่านค้นคว้าคนสุดท้าย

เนื้อหาสาระและประเด็นที่ผู้เขียนนำเสนอในหนังสือเล่มนี้ยังมีความใหม่และสดอยู่เสมอมิเสื่อมคลาย หรือมิได้ด้อยค่าตามกาลเวลาเลย แต่กลับสะท้อนให้เราเห็นว่านับวันเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ได้ฉายแสงแห่งความจริงแท้มากขึ้นถึงสัจจะความจริงในเรื่องการศึกษาในอิสลามดังกล่าว

สิ่งที่ทำให้หนังสือมีความน่าอ่านและน่าสนใจไม่แพ้กันก็คือท่านผู้แปล ซึ่งอาจารย์บรรจง บินกาซัน นับได้เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องงานแปลภาษาต่างประเทศที่มากประสบการณ์ อัลลอฮฺได้ประทานความสามารถในงานแปลและเรียบเรียงเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ได้อย่างลงตัวและเหมาะกับสถานการณ์ที่ประชาชาติอิสลามกำลังอ่อนแอในเรื่องดังกล่าวอย่างยิ่ง

ผู้เขียนคือท่าน (Muhammad Atiyah Al-Ibrashi) ได้เสนอให้เราเห็นว่าการศึกษานั้นมีความหมายและบทบาทลึกลงไปมากมายกว่าที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในสังคมบ้านเรามากนัก และหากมองกันในแง่ของความเป็นจริงตามเนื้อหาในหนังสือที่นำเสนอแก่เรา ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันการศึกษาของเรายังไม่ได้ตอบโจทย์หรือถอดรหัสได้ตามเป้าหมายของอิสลามที่แท้จริงเลยนอกจากส่วนน้อยเท่านั้น

แม้การศึกษาจะเป็นประเด็นสำคัญทางสังคมและเป็นวาระที่อัล-กุรอานเลือกที่จะตอบปริศนาของการเป็นนบีของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)โดยการประทานโองการแรกเป็นโองการที่ระบุเรื่องของการศึกษา คือคำว่า ‘จงอ่าน’ แต่เกือบจะไม่มีนักการศึกษาหรือผู้บริหารสถานศึกษาหรือครูบาอาจารย์ท่านใดที่ตระหนักและหันมาสนใจเรื่องการศึกษาในอิสลามอย่างจริงจัง และวิเคราะห์ถึงสาระต่างๆของเรื่องนี้อย่างที่ศัตรูของเราได้ทำกันจนพวกเขาสามารถที่ค้นพบพลังอำนาจและศักยภาพของประชาชาติของตนที่ซ่อนอยู่ในการศึกษาจนรุดหน้าประชาชาติอิสลาม พวกเรารับรู้เรื่องการศึกษาและสร้างโอกาสใช้มันไปเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า(พาณิชย์วิชาการ) ไม่มีโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาแห่งใดที่เชิญชวนและระดมนักวิชาการที่มีความเข้าใจเรื่องการศึกษาในอิสลาม ให้ทำการผ่าตัดและเสนอทางออกดังที่อิสลามต้องการ นอกจากส่วนน้อยที่หันมาให้ความสนใจมากขึ้นว่าการศึกษาของเราปัจจุบันน่าจะหลงทางไปจากเส้นทางหลักของอิสลามไปมากแล้ว

การศึกษาไม่ควรจำกัดอยู่ในความหมายแคบๆอีกต่อไปและไม่ควรที่จะดำเนินการอย่างพละการโดยคณะผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้รับใบอนุญาตหรือเจ้าของโรงเรียนเท่านั้น นั่นเพราะว่าการศึกษาเป็นศาสตร์ชั้นสูงเป็นองค์ความรู้ที่ซับซ้อนหลายมิติ มีการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวโยงกันอย่างเป็นองคาพยพที่หลากหลายและเกื้อหนุนกันอย่างมหัศจรรย์ ไม่มีใครที่สามารถบอกได้ว่าตนเป็นผู้สันทัดกรณีและชำนาญการเป็นพิเศษ แม้จะคร่ำหวอดอยู่กับสถาบันการศึกษามามากแค่ไหนก็ตาม และหากต้องข้องเกี่ยวกับอนาคตของเยาวชนหนุ่มสาวด้วยแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายภารกิจการศึกษาของทุกสถาบันมากกว่าที่คาดเดาเอาไว้มากมายหลายเท่าตัว

เท่าที่เราสังเกตมาเป็นเวลานาน การศึกษาโดยเฉพาะสถาบันการศึกษาศาสนาอิสลามในบ้านเรายังเป็นไปในลักษณะ ’ลอกเลียนแบบ’ หรือ ‘การถอดแบบ’ หรือ ‘การเอาอย่าง’ จากต้นตำหรับที่สับสนทางวิชาการซึ่งปรัชญาและเนื้อหาสาระส่งตรงมาจากโลกตะวันตก อย่างรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังทดลองสมรรถนะเครื่องยนต์ว่าจะวิ่งบนถนนลูกรังในเมืองไทยได้ไกลแค่ไหน หนังสือเล่มนี้จะชี้ทางให้เราเห็นอย่างโดดเด่นว่าอิสลามได้เปลี่ยนแปลงมนุษย์ด้วยสารัตถะคำสอนที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อผู้เรียนตลอดจนวิธีการ กระบวนการและแรงบันดาลใจอย่างไร

การศึกษาที่ไม่อาจทำให้คนเรามีจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรมทางศาสนาในชีวิตประจำวันและวิถีชีวิตนอกห้องเรียนของผู้เรียน ไม่มีอิทธิพลของคำสอนจากศาสนาเข้าไปกำกับพฤติกรรมของเขาทุกย่างก้าวแล้ว การศึกษานั้นก็เป็นสิ่งที่ไร้คุณค่าและไม่มีความหมายใดๆต่อมนุษย์อีกต่อไป และนี่คือภารกิจอันดับแรกของการศึกษาในอิสลามที่จะต้องปลูกฝังลักษณะดังกล่าวลงไปในสายเลือดแห่งการเป็นมนุษย์ของเยาวชนคนรุ่นใหม่

แม้จะเป็นหนังสือเล่มเล็กไม่หนาอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายกำลังให้ความสนใจอย่างมากในสังคมปัจจุบัน หากผู้อ่านได้อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะเห็นว่าเป็นหนังสือที่นำเสนอขอบข่ายได้ตรงประเด็นมีความหลากหลาย และมีความครอบคลุมมากทีเดียว และนับว่ายังไม่มีหนังสือเล่มใดในเมืองไทยที่เจาะจงเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริงในรูปแบบหนังสือวิชาการแนวตลาดที่เหมาะแก่ครูหรือนักวิชาการมือใหม่ทั้งหลาย

หากมองในเชิงวิเคราะห์ต่อความตกต่ำและความเปลี่ยนแปลงในด้านลบของมุสลิมในปัจจุบันโดยโยงใยกับการศึกษาในสถาบันต่างๆที่ได้เสนอตัวเองรับใช้ประชาชาติอิสลามทางวิชาการ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าล้วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาที่อ่อนแอและหลงทาง นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และต่อมาอาการพิการทางปัญญาและอัมพาตทางความคิด ส่งผลลัพธ์ออกมาเป็นการแตกแยกทางความเชื่อหลงใหลในชาตินิยมมัวเมาในวัตถุก็แสดงออกมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่พ้นไปจากแผนการของศัตรูที่วางแผนเอาไว้อย่างแยบยลเป็นระบบและมีการใช่งบประมาณมหาศาลเพื่อดับรัศมีแห่งอิสลามให้สิ้นซาก

ความเปลี่ยนแปลงและความยิ่งใหญ่ของอิสลามจะกลับคืนสู่ประชาชาตินี้อีกครั้งหนึ่งก็ด้วยการหวนกลับสู่เส้นทางเดินที่มีชื่อว่า ”การศึกษาและการขัดเกลาจิตวิญญาณแบบอิสลาม” ที่แท้จริง ทั้งในแง่ของศาสตร์ทางปรัชญา วิธีการ และเป้าหมาย และนี่เป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้องทางการศึกษา การอบรม การฝีกฝนชีวิตอิสลามให้แก่ลูกหลาน เยาวชนมุสลิม คุณครู ผู้ปกครอง บิดา มารดา ผู้นำชุมชนทุกหมู่บ้านจะต้องหันมาสนใจ และมาทุ่มเทสรรพกำลังทุกอย่างเพื่อการปฏิรูปการศึกษามากกว่าที่จะคิดคำนวณเพียงค่าหัวรายปีแล้วปล่อยให้ทุกอย่าง เป็นภาระของสังคมโดยหาใครรับผิดชอบไม่ได้เลย

เราหวังเหมือนที่ผู้เขียนวิงวอนต่ออัลลอฮฺในช่วงท้ายของหนังสือถึงความคาดหวังที่สูงส่งนั้นด้วย และเราจะได้เห็นความสำเร็จของประชาชาตินี้ ท่ามกลางการเสียสละและการอุทิศตนของผู้ที่มีความตระหนักในภารกิจนี้ด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮฺอีกครั้ง อามีน

อับดุลมาลิก อิสมาอีล มูเก็ม
บ้านโฮ๊ะ / รอบิอุษษานี 1433

เยือนปูโละปูโย

——–
***บิสมิลลา หิรเราะฮฺมาน นิรเราะฮฺฮีม***

lllโครงการ “สอบเสร็จ ไปปูโละปูโย”lll

สืบเนื่องจากที่วารสารสมิอฺนาฯได้ลงประกาศขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือ
พี่น้องผู้ประสบภัยใต้ จากการที่ทหารพรานซึ่งประจำการ ณ หมู่บ้านในตำบลปูโละปูโย ปัตตานี
ได้กราดยิงใส่รถกระบะของชาวบ้านซึ่งทำให้ชาวบ้านผู้บริสุทธ์ 9 คน
ต้องมาสังเวยความสกปรกของเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บ 4 นั้น

วันนี้ ในวันที่ยังไม่มีการเยียวยาใดๆ
(นอกจากครอบครัวผู้เสียชีวิต แสนบาท และสามหมื่นบาทสำหรับครอบครัวผู้บาดเจ็บ…)
เรื่องราวต่างๆ คำมั่นสัญญาต่อเด็กกำพร้าผู้ที่พ่อจากไป ฯลฯ กำลังเงียบหายไปทีละนิดๆนั้น
ก่อนที่เรื่องราวมันจะถูกปรุงแต่งโดยรัฐ องค์กร หรือคณะกรรมการจอมปลอมทั้งหลายให้เย็นชืดลงจนหายไป ไม่มีการดำเนินคดีใดๆต่อผู้กระทำผิด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ตากใบ กรือเซะ ฯลฯ

สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย,
ชมรมมุสลิม มหาวิทยาลัยสงขลานครินท์ วิทยาเขตหาดใหญ่,
วารสารสมิอฺนา วะอะเฏาะอฺนา
จึงได้จับมือกัน เดินทางไปเยี่ยมเยียนเเละมอบเงินบริจาคจากของพี่น้อง
ทั้งจากประกาศของวารสารสมิอฺนาฯและจากการบริจาคของพี่น้องในวันละหมาดวันศุกร์ที่ ม.อ.

พร้อมกันนี้ พวกเราก็ได้สัมผัสบางอย่างที่บรรยายเป็นข้อเขียนไม่ได้เลย
มันสุดจะทน สุดจะกลั้น กับชีวิตของพี่น้องที่นั่นภายหลังการสูญเสีย…
เราจึงนำภาพมาให้ชมกันพอหอมปากหอมคอครับ

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนพี่น้องจากการงานครั้งนี้…
เงินทุกบาทของพี่น้องนั้น ท่านได้จ่ายเเก่อัลลอฮฺเพื่อซื้อสวนสวรรค์ในวันโลกหน้าเเล้ว อินชาอัลลอฮฺ

——–

“ทุกชีวิตต้องลิ่มรสเเห่งความตาย…ดังนั้น พวกท่านจงรีบเร่งทำความดี” (ส่วนหนึ่งจากโองการจากอัลกุรอาน)

น้องคนนี้มีพี่น้อง 10 คน
นั่งไกวเปลให้หลานตัวเล็ก วันนี้น้องคนนี้ไม่มีพ่อเเล้ว… TT

คนเล็กสุด หลบหลังพี่ชายไม่พอ ต้องไปหลบมุมด้วย…
น้องเข้าใจมั้ยไม่รู้ ว่าวันนี้พ่อ ทำไมยังไม่กลับมา

คำว่าปู่ยังไม่ทันรู้จักเลย…ทหารพรานชุดดำก็พรากปู่จากไปเสียเเล้ว

เธอจงโตขึ้น เป็นคนดีของสังคม อย่าเป็นเช่นหมู่ชนที่ฆ่าพ่อเธอ…

นั้งคุยกันม้าย…

ทำไมมนุษย์ถึงต้องฆ่ากัน?

เจ้าบ้าน (บ้านแบฮะ) เลี้ยงครับ อร่อยมาก อิ่มท้องอิ่มใจ…

คุณยายทั้งสองอยู่มานาน เห็นความเลวร้ายของคนบางคนมามากเหลือ ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่านทั้งสองครับ (ยิ้มเขินตาลอดเลยน่ะ)

เงินไม่มากแต่ให้ด้วยความจริงใจ ไม่เหมือนเงินเจ็ดล้าน(ที่บอกจะให้)ให้ด้วยความจำใจ เพราะไปฆ่าคนบริสุทธ์ ฆ่าคนดี…

ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ผักปลา มีความรัก ความทรงจำ มีลูกให้กลับไปหา ไปกอด ไปให้นั่งตัก…ต่อให้ชดใช้ล้านๆบาท ก็ไม่พอหรอกจำไว้ เหล่าคนชั่วเอย

แบยา คนขับรถในวันเกิดเหตุครับ ใจดีมากคนนี้

ซ้าย บังอับดุลอะซีซ(จากองค์กร ยมท.) บังอัดนาน ลูกแบยา และน้องขวาสุด ลูกของแบฮะ เหยื่อทหารพรานที่อายุมากที่สุด 77 ปี

หมู่บ้านวันนี้เงียบมาก…ตั้งแต่วันเสียงปืนแตกนั้น

แบอัดนาน เล่าทุกช็อต ทุกฉากในค่ำคืนนั้น (แกบอกว่าทหารปิดถนนทุกทางที่จะไปที่เกิดเหตุได้ เพราะชาวบ้านต้องการไปช่วย แต่กลับสวนกลับด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้านับจำนวนนัดไม่ถ้วน จึงต้องถอยเข้าบ้านไป)

กว่าจะเข้าไปที่เกิดเหตุได้ ก็ 3 ชม.ผ่านไป
นานพอที่จะยัดปืนเข้าไปในรถ…

ครอบครัวนี้ ลูก 10 คนครับ พ่อจากไปเเล้วในค่ำคืนนั้น
(ใครจะดูแล จะมีที่เรียนไหม…
เอาลูกนายพล ลูกนักการเมือง มาเที่ยวดูแถวนี้บ้างก็ดีนะ)

โต๊ะอิมามที่หมู่บ้าน ซึ่งลูกของท่าน วัย 17 ปี เป็นหนึ่งในเหยื่อทหารพรานคลั่งเหล่านั้น

ลูกแบอัดนาน น่ารักมากเลย… >_<

บ้านแบฮะ คนนั่งข้างแบยาในรถที่เกิดเหตุ
แบฮะแก่สุดในรถ หลังถูกยิงคนแรก แกบอกว่า “ถูกเเล้ว…เราถูกยิงเเล้ว” T T

เหมือนจะบอกให้คนอื่นรีบหนี…

บังชิด ผู้ใหญ่ใจดีจาก ยมท. กับ พี่น้องที่ ม.อ.

บ้านแบฮะ เลี้ยงข้าวพวกเรา 22 คน!
ม๊ะที่ทำกับข้าวที่ครัวก็ใจดี น่ารักทีเดียว

ซึ้งโลดวัยรุ่น

โต๊ะครูใต้ ฮีโร่สามจังหวัด

In the name of ALLAH the most gracious the most merciful
a  wake a story 05 08042010

โต๊ะครูใต้ ฮีโร่สามจังหวัด

1

เมื่อหลายปีก่อน นิตยสารหัวการเมือง(ค่อนไปทางอิสระ)ฉบับหนึ่ง ขึ้นปกรูปบินลาเดนซะร่า พร้อมโปรยตำแหน่งให้ด้านล่างว่า “ประธานาธิบดีแห่งความกลัว”  ด้วยกับการขัดสนเงินทองในเวลานั้น หรืออย่างไรจำไม่ได้ ฉันจึงไม่ได้ซื้อเล่มนั้นมาอ่าน แต่เห็นแค่ปกก็พอจะตีเนื้อหาด้านในออกมาได้ ขนาดที่ว่าแกะตับไตไส้พุงออกมาวางด้านหน้าซะให้ได้กันเลยทีเดียว

ปัจจุบันโลกของเราวกวนอยู่กับวาทกรรมในหลายต่อหลายเรื่อง(อาจารย์บอกว่า วาทกรรมคือ ความจริงชุดหนึ่งที่มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรือเอาง่ายๆก็คือข้อมูลบางอย่างที่คนใดๆผลิตออกมาตามแต่ใจฉันซะส่วนใหญ่ คนอื่นๆจะเห็นเป็นไง ช่างมัน…) ถ้ารูปบินลาเดนรูปนั้นถูกขึ้นปกนิตยสารในปาเลสไตน์ ในอัฟกัน หรือในอิรักแล้ว ฉันมั่นใจเลยว่า คำโปรยด้านล่างต้องเป็นผู้นำของเหล่านักสู้หรือ ประธานาธิบดีแห่งความกล้าอะไรประมาณนั้น แน่นอนหากตะวันตกรู้ คนที่อยู่ข้างบินลาเดน(โดยเชื่อว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11) ก็จะกลายเป็นพวกแขกหัวรุนแรง ไม่ก็มุสลิมหัวรุนแรง แม้ว่าจะเป็นคนอิรัก คนอัฟกัน ทั้งประเทศ(ก็ตำรวจโลกบอกนี่) แม้ว่าพวกเขาจะสู้เพื่อปกป้องดินแดนตนเอง แต่คุณ(อเมริกา)เป็นอันธพาลเที่ยวเกะกะระรานแผ่นดินคนอื่นซะให้ทั่วก็ตามที

หลายต่อหลายเรื่องเราปกปิดหัวใจตนเอง ทั้งที่รู้อยู่ว่าความจริงเป็นเช่นไร

2

ย้อนไปเมื่อปี พุทธศักราช 2482 ท่านผู้นำนามว่า จอมพล ป.(แปลก) พิบูลสงคราม เริ่มต้นนโยบายชาตินิยม หวังจะปีนป่ายเทียบเท่ากับอารยะประเทศเช่น ตำรวจโลกกับเขาบ้าง พระสงฆ์ถูกห้ามสั่งสอนในเรื่องของการถือสันโดษ เพราะถือว่าขัดกับความเจริญ(ตรงไหน?) ยุคสมัยที่ผ้าคลุมผมผู้หญิงมุสลิมถูกห้าม หมวกขาว(กะปีเยาะห์)ก็ด้วย ผ้าโสร่งก็พลอยตกเป็นเหยื่อไปด้วย ไม่รู้ว่าลุงแปลก เขาเอาเกณฑ์อะไรมาใช้ นโยบาย chang “วัธนธัม” (ยุคนั้นเขาเขียนแบบนี้จริงๆ)ของลุงแปลกนี้ ช่างระรานสิทธิเสรีภาพของเหล่าประชาชนเขาไปทั่ว

3

คนทำดีแต่กลับถูกมองว่าไม่ดี ซ้ำยังโดนเหยียดหยามกดขี่อีก จึงได้บังเกิดฮีโร่ ณ กลางใจของเหล่าชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ขึ้นมาทันทีทันใด เสมือนเหล่าปีศาจปรากฏกายที่ใด ขบวนการห้าสีก็ต้องอยู่ที่นั้น นโยบายเปลี่ยนวัฒนธรรมอันเลื่องลือนั้น มันเปลี่ยนและกลืนกินชีวิตชาวมลายู ทำให้เหล่านายนางเหล่านั้น มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป  ลืมอิสลามอันมีเกียรติที่พวกเขาเคยมี

พุทธศักราช 2470 หลังจากไปร่ำเรียนมาจากแดนไกล หะยีสุหลง โต๊ะครูชื่อดังกลับมาจากนครเมกกะ  ซาอุดิอารเบีย ท่านมองปัตตานีในวันนั้น เสมือนยุคก่อนศาสดาจะมาเผยแพร่อิสลาม โต๊ะครูหลายต่อหลายคนไม่สอนในคำสอนที่แท้จริง แต่กลับสั่งสอนประชาชนตาดำๆในเรื่องประเพณีคร่ำครึ ไร้แก่นสาร แต่ท่านผู้นำชอบใจ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดท่านผู้นำนั้นต้องการขจัด ชะล้าง อิสลามในชาวมลายู มากกว่าความเป็นมลายูของนายนางเหล่านี้มากกว่าซะด้วยซ้ำ และยิ่งพวกเขาฮึดสู้ ชูประเด็นรักเชื้อชาติขึ้นมา ความเป็น “รักอิสลาม” ก็เริ่มเป็นรองและจืดชืดลงไป หะยีสุหลงยอมไม่ได้เป็นอันขาด ท่านมองการณ์ไกลว่า อิสลามคือสิ่งที่เราต้องรักษา ส่วนความเป็นมลายูคือสิ่งที่เราต้องปกป้อง เพราะมลายูที่ลืมอิสลาม จะดีไปกว่าอิสลามที่ไม่มีในมลายูได้อย่างไรกัน ท่านตรากตร่ำสอนอิสลามอันบริสุทธิ์แก่ชาวมลายู สอนให้รู้ว่า คัมภีร์อัลกุรอานและวจนะศาสดานั้นสำคัญเพียงใด และทำไมถึงต้องเรียกร้องให้กลับไปสู่สิ่งทั้งสอง จนวงการโต๊ะครูยุคนั้นตาร้อนผ่าว ตะลีตะลานตกงานกันไปอย่างหวบหาบ จนถูกกล่าวหาว่าเป็นโต๊ะครูหัวใหม่ รัฐบาล จอมพล ป. ก็ได้หานิ่งนอนใจไม่ เมื่อรู้ว่า ณ ขณะนี้ชาวมลายูรักอิสลามของพวกเขามากกว่าเชื้อชาติตัวเองซะแล้ว จุเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิโรมัน เคยกล่าวไว้ว่า

จงระวังผู้นำที่ตีกลองรบเพื่อปลุกสำนึกรักชาติของพลเมือง เพราะสำนึกนี้ทำให้เลือดปะทุห้าวหาญได้เท่ากับทำให้สติปัญญาแคบลง เมื่อเสียงกลองรบระงมถึงจุดสุดยอด เลือดจะเดือดพล่านด้วยความเกลียดชัง ดวงปัญญาก็จะปิดสนิท คราวนี้ไม่จำเป็นที่ผู้นำต้องริบเอาสิทธิของพลเมืองไป หากพลเมืองเองซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสำนึกรักชาติ จะยกสิทธิทั้งหมดของตนให้แก่ผู้นำด้วยความยินดี

ท่านผู้นำเข้าใจกฎข้อนี้ดี เขาเอามาใช้กับตัวเอง กับเหล่าผู้นำและประชาชนในสามจังหวัดสมัยนั้น   กลับไปที่ปัตตานี หะยีสุหลงเข้าใจเหล่กลนี้ดี ท่านปรับความเข้าใจกับชาวมลายูว่า ความจริงนั้น พวกท่านต้องทำอะไร  ใครจะรู้บ้างเล่า ว่าท่านผุ้นำจะกลัวเรามาก ถ้าเรานั้นมีศาสนา เป็นอิสลามนิยม มากกว่ามลายูนิยม

พุทธศักราช 2472 หะยีสุหลงเปิดโรงเรียนศาสนาแห่งแรกในปัตตานีใช้ชื่อว่า “มัดราเซาะห์อัลมูอาริฟอัลวาฏอนียะฮฺปัตตานี” เวลาเดียวกันนั้นเอง ไม่นานนักท่านก็ถูกจับ และเริ่มโดนเหล่านักการเมืองผู้เสียประโยชน์ สาดน้ำสาดโคลน แต่ท่านตระหนักดีในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนดี ที่ต้องอดทนเป็นนิจศิล ท่านกล่าวกลับไปขณะอยู่ในคุกที่ นครศรีธรรมราช ว่า

ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจต่อข้อครหานินทาและข้อกล่าวหาที่ไร้สาระ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยทำอะไรที่ขัดต่อกฎหมายบ้านเรือน ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งธรรมดาสำหรับผู้ที่ทำงานเพื่อส่วนรวม สมัยพระศาสดานบีมุฮัมมัดก็เคยประสบกับสิ่งเหล่านี้มากมายจนต้องอพยพจากนครเมกกะไปยังนครเมดีนะฮ์ แต่พระองค์ก็ทรงเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮ์ได้สำเร็จ        ถ้าเราไม่กล้ากระทำในสิ่งที่ศาสนากำหนดไว้ ทั้งๆที่เราเรียนรู้มาแล้ว คนรุ่นหลังก็จะมีแต่คำสาปแช่งคุณงามความดีอะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับการต่อสู้เพื่อศาสนาอิสลามอันประเสริฐ

วันนี้มีโต๊ะครูหลายท่านที่ถูกรัฐบาลไทยกล่าวหาและใส่ร้ายอย่างหยาบโลน ซ้ำยังนำเข้าคุกโดยที่ข้อกล่าวหาก็ยังไม่เข้าท่าเข้าทีอะไร แต่ทำเพื่อลูกพี่ใหญ่ อเมริกาไปก่อนนั้น เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ว่า ทำไมภาคใต้จึงไม่สงบเสียที เพราะรัฐบาลไม่เข้าใจว่าโต๊ะครูนั้นสำคัญมากขนาดไหน สำหรับชาวมุสลิมในภาคใต้

4

ขุนจรรยาวิธาน(ยูโซ๊ะ มโรหบุตร) ข้าราชการบำนาญกระทรวงศึกษาธิการสมัยนั้นเล่าว่า…
ทุกตอนเย็นจะมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่ เดินผ่านหน้าบ้านผมทุกวัน เสียงเกี๊ยะที่เดินผ่านหน้าบ้านผม ดังกริ๊กๆๆ ลั่นไปหมด พวกนั้นเขาเดินไปละหมาดกันที่โรงเรียนหะยีสุหลง…”

หลายต่อหลายครั้งที่ฉันต้องการจะไปเยี่ยมเยียน เพื่อนๆที่จังหวัดปัตตานีด้วยรถมอเตอร์ไซด์นั้น  ประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเอง ทำให้ฉันต้องคิดไว้ล่วงหน้าว่าวันนี้ต้องเจอด่านตรวจเท่าไร จะพูดกับทหารยังไง ไหนจะหนังสือศาสนาภาษาอาหรับ-ยาวี ในกระเป๋าอีก บางครั้งทั้งที่เป็นหนังสือหลักภาษา หลักอัคลาก(จริยธรรม) ก็ยังโดนสงสัยว่าเป็นหนังสือสอนก่อการร้าย กังวลไปซะทุกอย่าง กังวล…ไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นโจร แต่กังวลว่ามันจะทำให้ฉันเสียเวลาในการเดินทาง ซ้ำยังเอาแน่เอานอนไม่ได้กับทหารพรานบางคน ถือปืนพิทักษ์สันติราษฎร แต่ปากนั้นเล่า เหม็นหึงและอาบโลนด้วยเหล้าขาว ฉันเข้าใจชาวบ้านดีก็ด้วยเรื่องเหล่านี้ ทำไมสำหรับพวกเขาแล้วทหารคือความกลัว หาใช่ความปลอดภัยอย่างที่ควรจะเป็น

วาทกรรมที่มีการมองอย่างหวาดกลัวบนชาวมลายู(ทั้งที่เขาไม่ได้ชั่วไปทุกคน) ทำให้พวกเขากลัว สับสน และไม่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ขณะเดียวกันชาวมลายูก็ต้องการความสันติจากเรื่องร้ายต่างๆ พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาซึ่งอยู่กันบนแผ่นดินที่พระเจ้าให้เขามา ดั่งเช่น อินเดีย พระเจ้าก็ให้คนฮินดูอาศัยเป็นส่วนใหญ่ อารเบีย ก็ให้อาหรับชนอยู่ พวกเขาไม่ได้ต้องการจะก่อความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้านตนเอง ซึ่งมีทั้งชาวไทยพุทธและไทยคริสต์ แต่วาทกรรมทำให้ชาวมลายูกลายเป็นแขก แขกที่น่ากลัว ทุกคนต้องกลัวเกรง ไม่รู้เมื่อไรมันจะมาฆ่าฉัน มาเผาโรงเรียน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นการฆ่าครูซึ่งเป็นคนดีคนหนึ่ง เสียสละหน้าที่มากมายแค่ไหนใครก็รู้กัน หรือแม้แต่เผาโรงเรียน เหล่านี้หากเป็นผลงานชิ้นโบดำของชาวมลายูจริง ก็เป็นแค่คนส่วนน้อย เป็นหยดน้ำจากปลายนิ้ว ซึ่งได้จากสายน้ำบริสุทธิ์ที่หะยีสุหลงพยายามกลั่นออกมาเมื่อครั้งอดีตแล้วนั้นเอง “สายน้ำอิสลาม แห่งความสันติ และปกป้องมลายูในฐานะที่เป็นเชื้อชาติหนึ่ง หาใช่ความเป็นชาตินิยมที่อิสลามห้ามไว้”

เพราะหากวาทกรรมสื่อ หรือจากรัฐบาลมองว่าชาวมลายู(แทบจะทุกคน) ปอเนาะทุกแห่ง เป็นแหล่งบ่มโจรแล้วล่ะก็ ทุกวันของชาวมลายูก็จะต้องอยู่ในการปกครองของนายกรัฐมนตรีแห่งความกลัว ทหารแห่งความกลัว ข้าราชการแห่งความกลัว และเพื่อนบ้านแห่งความกลัว มันเป็นการคลาดเคลื่อน ซึ่งมาจากพวกมีผลประโยชน์ไม่กี่คน  คอยเป่าหูให้พี่น้องชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมทะเลาะกัน วาทกรรมจึงเป็นการรู้ไม่หมด แต่อยากพูด จึงเป็นอันตรายสร้างความขัดแย้งขึ้นมาได้เหมือนกัน

วันนี้เรามีเรื่องที่คนบางคนไม่อยากให้รู้ แต่มันมีอยู่จริง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี กับเรื่องที่คนบางคนอยากให้เรารู้มากซะจริงๆทั้งที่มันไม่มีความจำเป็นเลยซะด้วยซ้ำ ครูท่านหนึ่งเคยบอกฉันว่า เรื่องของคนบางคน แค่บรรทัดเดียวก็ยาวเกินไปแล้วสำหรับเรา รู้ไปก็ไร้สาระ…ฉันเข้าใจได้ก็วันนี้ล่ะ

ฉันขอตบท้ายด้วยถ้อยคำของหะยีสุหลง เมื่อครั้งถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกจำคุก และต่อมาก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระว่า

“…กระผมเพียงแต่ทำการสอนหลักศาสนาแก่ทุกคนที่สมัครใจเรียน และไม่เคยไปไหนเลยแม้แต่งานเลี้ยงและงานศพ เพื่อป้องกันมิให้ถูกเพ่งเล็งในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร…” ในตอนท้ายจดหมาย หะยีสุหลงได้ขอสอนศาสนาต่อไป โดยการอนุมัติของกระทรวงมหาดไทยและกล่าวว่าหากตนเองต้องตกอยู่ในภาวะที่ถูกเพ่งเล็งตลอดไปเช่นนี้ อาจจะขอย้ายไปอยู่เสียยังประเทศอื่น…

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2497 หะยีสุหลงเดินทางออกจากปัตตานีสู่สงขลาพร้อมเพื่อนอีกสามคน เพื่อเข้าพบและรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาล(ที่ยังคงระแวงและเฝ้าติดตามอยู่ตลอดเวลา) แต่ใครจะรู้ว่าภาพการละหมาดวันศุกร์ ของเที่ยงวันนั้นสำหรับปราชญ์คนหนึ่งกับสหายอีกสามคน โดยเฉพาะหะยีสุหลงนั้น จะเป็นภาพสุดท้ายของเขา เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครพบเขาอีก ต่อมาจึงมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า พบศพของท่านบริเวณทะเลสาบสงขลา

ความจริงจะเป็นเช่นใดนั้น อัลลอฮฺ(ซ.บ.)พระเจ้าของเราเท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่ง แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้และประจักษ์ได้ทันทีหลังจากวันนั้นก็คือ พระเจ้านั้น รักเหล่านักสู้และผู้รู้ แต่พระเจ้าก็รีบเร่งที่จะเรียกเขาเหล่านั้นกลับสู่พระองค์เช่นกัน เหลือไว้แต่ผู้คนที่ไม่(อยาก)รู้ ไม่(อยาก)ศึกษาหาความจริง ให้ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างยาวนานต่อไป สมกับคำพูดของพี่ชายคนหนึ่ง ที่เคยบอกฉันไว้ว่า…

โลกนี่น่ะ มีแต่ชีวิตจริง แต่ไม่ใช่ความจริงสักกะอย่าง…แล้ววันหนึ่งท่านก็จะเข้าใจเอง.

อ้างอิงข้อมูล
เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร.2547.หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ กบฏ…หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้.กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มติชน.264 น.

………………………………………………………………………………………………………………………………….


การแต่งกายของคหบดี(ผู้มีอันจะกิน)เมืองปัตตานีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ยังไม่มีการใช้ผ้าคลุมผมแต่นำมาห่มเป็นผ้าสไบ ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ

อิทธิพลการสอนศาสนาและดะฮฺวะฮฺของโต๊ะครูสมัยใหม่ ทำให้เกิดชุดดะวะห์ (เรียกตามกลุ่มคนดะวะห์) ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อชุด ฮิญาบ ซึ่งประกอบด้วย เสื้อกุรงสีขาว ผ้าถุงสีพื้นยาวกรอมเท้า จุดเด่นของชุดนี้คือ ผ้าคลุมผมซึ่งประกอบด้วยผ้าสีดำสำหรับปิดผมแล้วคลุมทับด้วยผ้าขาวหรือดำยาว คลุมไหล่ อีกชิ้นหนึ่ง ที่มา : เมืองโบราณ, 2536 :หน้าปก


จอมพล ป.(แปลก)พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 และอีกหลายสมัยในเวลาต่อมา ชื่อจริง “แปลก” นั้น มาจากการที่เกิดมาแล้ว หูอยู่ต่ำกว่าตา และว่าเป็นผู้นำที่มีนโยบายหลายอย่างขัดกับมุสลิมในประเทศ  เช่นห้ามใส่ผ้าคลุม ห้ามใส่กาปีเยาะห์หรือแม้แต่ออกนโยบายสร้างกะบะฮ์ขึ้นในไทย เพื่อป้องกันการรั่วไหลเงินตราออกนอกประเทศจากผู้ทำฮัจญ์ (จน สว.มุสลิมท่านหนึ่ง ต้องบอกกล่าวว่าต้องอยู่ที่มักกะฮฺเท่านั้น และยกกุรอานซูเราะฮฺอัลฟีล มาอธิบาย ถึงได้ยกเลิกไปในที่สุด)

ข้อมูลเพิ่มเติม :
ยุทธศาสตร์ผ้าคลุมผมและหมวกกปิเยาะห์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้