“โครงการจัดพิมพ์หนังสือเก่าร่วมสมัย” ลำดับที่ 2
“อิสลามกับอารยธรรมสมัยใหม่” (ผนวกเรื่อง อิสลามในแง่ประวัติศาสตร์)
สัยยิด อบุลอะอฺลา เมาดูดีย์ เขียน
ข้อเขียนของปราชญ์ชราผู้ยิ่งใหญ่ ที่พยายามฉายภาพความล้มเหลวของระบอบการปกครองที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง และยังได้นำเสนอระบอบการปกครองเก่าที่เคยนำพาความรุ่งเรืองมาแก่มนุษยชาติ นั่นก็คือ ระบอบคิลาฟะฮฺ แก่มนุษย์ในยุคปัจจุบัน ได้อย่างน่าลิ้มลองตามสไตล์ปราชญ์ผู้รอบรู้
68 หน้า กระดาษถนอมสายตา.. 70 บาทครับ
ใครใคร่อ่าน ติดต่อมาได้เล้ยยยย!
———
-คำนำ-
หลายคนเกิดมาพร้อมกับสถานะของการเป็นมุสลิม และเติบโตมากับสถานะนั้น แต่เขากลับเลือกที่จะคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ของตัวเองจนถึงกับดูถูกชาติพันธุ์ที่แตกต่างจากเขา เขาจะเชื่อว่าประชาธิปไตยคือคำตอบของทุกปัญหา จนเมื่อไหร่ที่เขาพบเจอกับปัญหา เขาก็มักจะเสนอทางออกด้วยวิธีที่เขาคิดว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เขาคิดว่าศาสนาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การปฏิบัติศาสนกิจ เพียงแค่เขาปฏิบัติให้ครบถ้วน นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะประคับประคองเขาให้เป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ และคิดไปว่าเรื่องที่นอกเหนือจากศาสนกิจ เขาจะคิดและจะทำอะไรก็ได้
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็น นักคิด นักเขียน และนักฟื้นฟูอิสลามร่วมสมัย ที่ต้องเผชิญกับสภาพปัญหาที่มุสลิมต้องเผชิญหน้ากับยุคสมัยของมนุษยนิยม และเสรีนิยม ยุคสมัยหลังจากที่ศาสนาคริสต์ได้ล่มสลายไป เพราะพฤติกรรมการแสวงหาผลประโยชน์ของบรรดานักบวชจอมปลอม จนทำให้คริสตศาสนากลายเป็นศาสนาที่เหลือเพียงแต่รูปร่างไร้ซึ่งจิตวิญญาณ นำมาสู่ความเชื่อใหม่ที่พยายามลดอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และเพิ่มอำนาจของมนุษย์ (มนุษยนิยม) และเชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีเสรีภาพที่คิดจะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบในทางที่ไม่ดีต่อมนุษย์ผู้อื่น (เสรีนิยม) โดยลืมไปว่าสิทธิของมนุษย์นั้นเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้า แนวคิดเหล่านี้ถูกสะท้อนและแปรรูปออกมาเป็นผลผลิตหลายรูปแบบ ทั้งระบอบการปกครอง ระบอบเศรษฐกิจ ระบอบการศึกษา ฯลฯ และพยายามที่จะเรียกผู้ที่ตามและยอมรับรูปแบบนั้นว่า อารยชน (ชนที่มีอารยธรรม) และผลักใสผู้ที่ไม่ยอมรับให้กลายเป็น อนารยชน(ชนที่ไม่มีอารยธรรม) จนมุสลิมจำนวนมากที่ไร้เดียงสา พลอยที่จะชมชอบรูปแบบเหล่านั้น โดยลืมและไม่เข้าใจว่าถ้าเราเลือกอิสลามแล้ว รูปแบบเหล่านั้น อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เราเลือก และเหนือสิ่งอื่นใด อิสลามนั้นคือ อารยธรรม
ผู้เขียนได้เลือกที่จะอภิปราย ลัทธิประชาธิปไตย ลัทธิชาตินิยม และ ลัทธิเซคคิวลาร์ ในเรื่องรากเหง้าความเป็นมา ผลกระทบ หลักการอิสลามและจุดยืนที่ถูกต้องของมุสลิมต่อลัทธิเหล่านั้น ทีมงานหวังว่า ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ จะสามารถเพิ่มความเข้าใจ และเสริมสร้างเกราะกำบัง ในการป้องกันความเชื่อและความเข้าใจที่บ่อนทำลายความเป็นมุสลิมที่แท้จริง และไม่ตกเป็นเครื่องมือของซัยตอนมารร้าย
กระหม่อม
———
-หมายเหตุ จากคณะผู้จัดทำ อัล-ญิฮาด-
ก่อนหนังสือที่อยู่ในมือของท่านนี้จะพิมพ์เสร็จ ก็ได้ข่าวว่า ท่านสัยยิด อบุลอะลา เมาดูดีย์ ก็ได้สิ้นชีวิตไปแล้วที่สหรัฐอเมริกา ท่านสิ้นชีวิตเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1979 ขณะกำลังรักษาตัวอยู่ที่นั่น
การจากไปของท่าน ทำให้โลกมุสลิมขาดนักคิด นักต่อสู้ นักวิชาการ และนักเขียนไปอีกท่านหนึ่ง ความหวังแห่งชีวิตของท่านในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่คงยังไม่บรรลุถึง 100% เต็ม แต่ผลของการต่อสู้ของท่านที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่มีการท้อถอย หรือหยุดชะงัก แม้จะถูกกดดันด้วยการถูกจำคุกตัดสินประหารชีวิตนั้น ผลงานเหล่านั้น เราสามารถศึกษาได้อย่างมากมาย
ที่จริงถ้ามิใช่ด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ สุบหาฯ ท่านคงสิ้นชีวิตใน ค.ศ.1953 ไปแล้ว เพราะท่านถูกพิพากษาโดยรัฐบาลปากีสถานในสมัยนั้นให้ประหารชีวิต อัลหัมดุลิลลาฮฺ คำพิพากษานั้นไม่ทันได้รับการปฏิบัติ ก็มีเหตุการณ์ผันแปรจนท่านได้รับการตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่ต่อมาไม่นานท่านก็ได้รับการปลดปล่อยออกมา และได้ดำเนินการต่อสู้ในวิถีทางของอิสลามต่อไป
ในขณะได้รับทราบคำพิพากษาให้ประหารชีวิตดังกล่าวนั้น ทางการได้ให้โอกาสแก่ท่านเพื่อให้ท่านฎีกาลดหย่อนผ่อนโทษจากประธานาธิบดีแห่งปากีสถาน แต่ท่านกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
“ข้าพเจ้า ขอมอบชีวิตและร่างกายของข้าพเจ้าแด่อัลลอฮฺ ดีกว่าที่จะขอต่อผู้มีอำนาจเผด็จการที่ อยุติธรรม ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบชีวิตและร่างกายของข้าพเจ้า แต่ถ้ามิใช่พระประสงค์ของพระองค์ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะถูกตัดสินอย่างไร หรือพวกเขาจะทำอย่างไรต่อตัวข้าพเจ้า ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถกระทำต่อตัวข้าพเจ้าได้”
นับเป็นคำพูดจากมุสลิมคนหนึ่ง ที่เชื่อมั่นในอัลลอฮฺ อย่างแท้จริง… ถูกของท่าน! ท่านถูกจำคุก ไม่นานก็ได้รับอิสระ
ท่านเขียนหนังสือตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก เนื่องจากบิดาของท่านได้สิ้นชีวิตก่อนที่ท่านจะเรียนจบ ท่านจึงต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักหนังสือพิมพ์ ขณะนั้นท่านอายุ 17 ปี ท่านจึงเรียนในโรงเรียนจบแค่ชั้นมัธยมเท่านั้น สองปีต่อมาท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ (ตาจญ์)
ใน ค.ศ.1937 ดร.มุหัมมัด อิกบาล มหากวีแห่งบูรพาทิศได้มีจดหมายถึงท่าน เชิญชวนให้ท่านย้ายไปอยู่ที่ปันจาบเพื่อ
ทำงานด้วยกัน ต่อมาท่านก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นตามคำเชิญชวนของอิกบาล แต่น่าเสียดาย สัยยิด อบุลอะลา เคยกล่าวไว้ว่า “ในเวลานั้นท่าน (อิกบาล) กำลังใช้ชีวิตในช่วงสุดท้าย หนึ่งเดือนหลังจากนั้นท่านก็จากไป ทิ้งให้ข้าพเจ้าทำงานอย่างโดดเดี่ยวเพื่อทำหน้าที่วางพื้นฐานที่เราทั้งสองได้ตัดสินไว้แล้ว”
ท่านเคยเป็นคณบดีคณะอุศูลุดดีน แห่งอิสลามียะฮฺ คอลเลจ เกือบสองปี ต่อมาก่อตั้งพรรค “ญะมาอัต อิสลามี” ในปี ค.ศ.1941 ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ต่อสู้เพื่ออิสลาม
ท่านเขียนหนังสือมากกว่า 130 เล่มและได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆหลายเล่ม อินชาอัลลอฮฺ เราจะพยายามแปลผลงานของท่านออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้พวกเราที่อยู่ในประเทศซึ่งขาดแคลนหนังสือเกี่ยวกับศาสนาอิสลามนี้ เพื่อให้พวกเราเปิดหูเปิดตา และรับรู้ด้วยว่ามุสลิมได้ดำเนินไปถึงไหนแล้ว ทั้งนี้เพื่อเราจะได้ดำเนินไปให้อยู่ในแถวเดียวกันกับบรรดาผู้กำลังดำเนินไปข้างหน้าทั้งหลาย
วะบิลลาฮิเตาฟีก วัลฮิดายะฮฺ,วัสสะลามุ อะลัยกุมฯ
คณะผู้จัดทำ อัล-ญิฮาด เล่มพิเศษ
21 พฤศจิกายน 2522/1 มุหัรร็อม 1400
———
-โครงการ จัดพิมพ์หนังสือเก่าร่วมสมัย-
นับตั้งแต่พวกเราได้ก้าวเข้าสู่วงการช่างทำหนังสือ เรามีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า หนังสือคือสิ่งประดิษฐ์ที่น่าทึ่งและน่าอัศจรรย์ที่สุดในประดาสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายแหล่ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าหนังสือ อาจมิได้เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของชีวิตมนุษย์ก็ตาม แต่สิ่งประดิษฐ์นี้กลับมีอายุยาวนานและเป็นเครื่องมือสำหรับกลุ่มชนในประวัติศาสตร์หลายต่อหลายกลุ่มทีเดียว ที่ใช้มันเป็นอาวุธทางความคิดเพื่อเดินเครื่องอุดมการณ์อันบรรจุความใฝ่ฝันสูงสุดไว้ในนั้น
อิสลามเป็นศาสนาแห่งวิชาการ มีเหตุและผลที่ครบถ้วนจากอัลลอฮฺ ผู้เป็นเจ้าของสวนสวรรค์ในโลกหน้า ประวัติศาสตร์อิสลามเดินเครื่องด้วยหนังสือเล่มเดียวและอีกหลายเล่มข้างเคียงตลอดมา อัลกุรอานเคยถูกชูขึ้นเหนือศรีษะของเหล่าบรรพชนอิสลามผู้ออกสู่สมรภูมิรบ ในกลางคืน พวกเขาศึกษาข้อเขียนที่บรรจุอยู่ในนั้น ทำความเข้าใจกับมัน และจักไม่ยอมปล่อยให้เพียงบรรทัดเดียวภายในนั้นหลุดห้วงไปจากความคิดและความทรงจำ จนกว่าพวกเขาจะนำข้อความนั้น มาปฏิบัติ เรายังมีบรรดาหนังสือหะดีษเล่มโตซึ่งบันทึกคำพูดของท่านนบี เป็นของขวัญอันล้ำค่ายังไม่นับตำรามากมายของเหล่าอุลามาอฺ ซึ่งแม้แต่หนังสือ “ฟาตาวา อัลกุบรอ” หนังสือฟัตวาปัญหาศาสนาเล่มใหญ่ของชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมิยะฮฺ อุลามาอฺมุญาฮิดีนคนสำคัญในอดีตก็ยังถูกใช้อ้างอิงและผลิตซ้ำจนถึงยุคปัจจุบัน
โครงการจัดพิมพ์หนังสือเก่าในอดีต ถือเป็นการซื้อขายครั้งสำคัญสำหรับพวกเรากับอัลลอฮฺ เพื่อแลกกับสวนสวรรค์อันเป็นสุดยอดสินค้าในโลกหน้า หนังสือเก่าในอดีตบางเล่มซึ่งไม่มีการผลิตซ้ำแล้วนั้น บรรจุไว้ซึ่งเนื้อหาสาระที่ยังคงทันสมัย และควรอย่างยิ่งที่พี่น้อง โดยเฉพาะเหล่าเยาวชนร่วมสมัยกับพวกเรา ควรที่จะหยิบมาอ่าน และทบทวนรสชาติอันหอมหวาน ความขมขื่น และความฮึกเหิมนั้นอีกครั้ง หลังจากที่มันถูกลืมเลือนด้วยกาลเวลาและความไม่เอาไหนของเยาวชนรุ่นเรา
หนังสือบางเล่มมีชีวิต ในนั้นมีรอยยิ้มและความเศร้าของเหล่าบรรพชนผู้รักอิสลาม เราจึงขายโครงการนี้แด่อัลลอฮฺ และหวังว่าผู้อ่านจะร่วมกันเดินเคียงข้างไปกับเรา ติดตามเล่มต่อไปในคราวหน้า ด้วยใจรักในอิสลาม อินชาอัลลอฮฺ
หมีมลายู
โครงการจัดพิมพ์หนังสือเก่าร่วมสมัย