บุตรคนแรกของซาเล็ม

123

11

“อัสลามุอะลัยกุม”

“วะอะลัยกุมุสลาม” ซาเล็มชะโงกหน้าออกไปดูพร้อมกับตอบสลาม เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร เขาก็ร้องเชิญทันที

“ครู! เชิญครับ เชิญข้างใน” ผู้เป็นแขกหรือครูหวัง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และเป็นที่นับถือคนหนึ่งของคนในตำบลนั้น ก้าวมาตามคำเชิญ

“เชิญทางนี้ครับ” ซาเล็มพูดพร้อมกับจับมือจูงเข้าไปข้างในซึ่งมีผู้แต่งตัวแบบโต๊ะครูนั่งอยู่ก่อนแล้ว 2-3 ท่าน หลังจากได้สัมผัสมือกับบรรดาครูที่นั่งอยู่ก่อนและทักทายกันพอสมควรแล้ว ครูหวังเอ่ยขึ้น

“ทำไมต้องให้ครูมาก่อนเวลาด้วย?” ครูหวังสงสัย

“มีเรื่องที่ต้องขอแนะนำจากบรรดาครูผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่แหละ จึงต้องขอเชิญให้มาก่อนเวลา กะว่าพอปรึกษากันเรียบร้อยก็ถึงเวลาพอดี” ซาเล็มบอก

“เรื่องอะไรละ ? ว่ามาเลย เรา 3-4 คนอยู่กันพร้อมแล้ว” ครูหวังใจร้อนแบบเสียดายเวลา

“คอยอีกสักประเดี๋ยวเถอะครับ ยังขาดครูอีกคนหนึ่ง” ซาเล็มตอบ “ผมกำหนดกับท่านไว้ 8 น. นี่ก็ยังขาดอีก 2-3 นาที อ้าว ! มาแล้ว”

“อัสลามุอะลัยกุม”

“วะอะลัยกุมุสลาม” เจ้าของบ้านตอบ “เชิญข้างในเลยครับ คอยครูอยู่คนเดียว

“เอ๊ะ ! ผมผิดเวลาหรือเปล่า ขอโทษด้วย” ครูดีน หัวหมาก ชะงัก กล่าวขอโทษอย่างสุภาพ

“ครูมาไม่ผิดเวลาครับ” ซาเล็มตอบ “ครูมาตรงเวลาพอดี เชิญข้างในเลย” ซาเล็มจูงมือครูดีนเข้าไปยังที่ที่บรรดาผู้อาวุโสนั่งกันอยู่แล้วก็กล่าวแนะนําแต่ละท่าน

“นี่ครูดีนครับ อยู่หัวหมาก และนี่ครูหวัง ครูฏอฮา ครูฏอยยิบ และนี่ครูเซ็ม”

“ครูคนนี้ไม่ต้องแนะนำหรอก” ครูหวังพูดหมายถึงตัวของเขาเอง “ครูไปที่ไหนมีคนรู้จักทั้งนั้น” ครูหวังใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่าครู

“จริงทีเดียวครับ ผมรู้จักครูดี แต่ครูอาจไม่รู้จักผม” ครูดีนพูดเรียบๆ

“คนละรุ่นกัน”

“ไม่ค่อยได้พบครูเลย” ซาเล็มพุดกับครูดีน “งานแต่งต่างๆก็ไม่ค่อยได้เห็น เมาลิดเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วก็ไม่พบ”

“งานในบ้านยังไม่เรียบร้อย งานนอกบ้านก็ควรจะเป็นทีหลัง” ครูดีนพูดเรียบๆตามเคยของแก

“คนเราต้องสังคมกันบ้าง จะทิ้งสังคมเสียไม่ได้” ครูหวังเอ่ยขึ้น ครูดีนยิ้มอีก ครูหวังจึงพูดต่อไป

“ครูไปเข้าสังคมที่ไหนมีคนรู้จักหมด” ครูหวังใช้คำแทนตัวเองว่าครู “หนังสือบัรซันยีเมาลิด หรือบุรดะฮฺ ครูไม่เคยท่อง แต่ครูจำได้หมด ใครขึ้นมาตรงไหนครูต่อได้หมด” ครูหวังอธิบายสรรพคุณตัวเอง

“วันนี้โกนผมไฟหรือ ?” ครูหวังหันไปถามซาเล็ม

“ครับ ได้ลูกหัวปี” ซาเล็มตอบ

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ครูหวังถาม

“ผู้หญิงครับ” ซาเล็มตอบยิ้มๆ “กว่าจะได้ต้องบนบาน(นะซัร)กันวุ่นวายไปเลย”

“บนบานขึ้นเปลกับเขาหรือเปล่าล่ะ? ” ครูหวังถามอีก “บางแห่งเอาเด็กใส่เปล แล้วร้องเพลงประวัตินบีกล่อม”

“หากผมบนบานอย่างนั้นคงไม่ยุ่งอย่างนี้ แต่ผมเกิดบนบานไม่เหมือนคนอื่นมันเลยต้องเดือดร้อนถึงครูอาจารย์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย” ซาเล็มบอก

“อ้าว ! บนบานอย่างไรกันละ พิสดารหนักหนาเชียวหรือ เลี้ยงข้าวบนยอดไม้ไผ่หรือไง ?” ครูหวังถามอีก พูดปนหัวเราะ ช่างคุย

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คือผมได้บ่นไว้ว่า หากได้ลูกสักคนหนึ่งก็โกนผมตามแบบที่ท่านเราะสูลุลอฮฺเคยทำ แต่ผมไม่ทราบว่า ท่านเราะสูลของเรา ได้เคยโกนผมไฟอย่างไร ฉะนั้นในวันนี้จึงได้เชิญบรรดาครู มาช่วยกันแนะนําผมว่าจะทำอย่างไร โกนอย่างไรจึงจะตรงกับที่ผมบนบานไว้”

“ก็แบบที่เราทําอยู่นี้มันก็เป็นแบบที่ท่านเราะสูลทําไม่ไช่หรือ อ่านบัรซันยี พออ่านถึงตอนนบีประสูติก็ลุกขึ้นยืนอ่าน “อัชรอกอน” เอาน้ําหอมมาพรมกัน แล้วก็เอาเด็กมาตัดผมไฟก็ใช้ได้แล้วนี่” ครูหวังพูดคล่อง ทุกคนนิ่งกันหมด ไม่มีใครออกความเห็น อาจเป็นเพราะครูหวังเป็นผู้อาวุโสกว่าคนอื่นๆ ในหมู่นั้นก็ได้ ซาเล็มมองหน้าครูหวัง แล้วก็มองผ่านบรรดาครูเหล่านั้นอย่างช้าๆ ที่ละท่าน ไปสุดที่ครูดีน ซึ่งนั่งเป็นคนสุดท้าย เหมือนจะถามบรรดาครูเหล่านั้นว่า ที่ครูหวังพูดมานั้นถูกต้องไหม

“ครูฏอฮาว่าไงครับ ?” ซาเล็มถามครูที่นั่งใกล้ครูหวัง

“ผมยังไม่เคยพบแบบอย่างที่ท่านนบีทําเลย” ครูฏอฮาตอบ

“ครูเซ็มเล่าครับ เห็นด้วยกับที่ครูหวังพูดไหมครับ” ซาเล็มถามครูที่นั่งถัดไป

“ผมเชื่อว่าครูหวังพูดไม่ผิด ครูหวังผ่านเรื่องนี้มามาก” ครูเซ็มตอบ

“แล้วครูฏ็อยยิบเล่าครับ” ซาเล็มถามไล่ไปทีละคน

“ถามเดี๋ยวนี้ จะตอบให้เดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้เตรียมตัวดูหนังสือมา ไม่แน่ใจ” ครูฏ็อยยิบเลี่ยง

“ครูดีน เห็นด้วยกับครูหวังไหมครับ” ซาเล็มถามครูดีนอีก

“ถ้าจะเอาให้เหมือนกันเลยผมทำไม่ได้หรอกครับ” ครูดีนพูดเรียบๆ เรื่อยๆ

“นั่นนะซี” ครูหวังพูดขึ้นมาอีก “มันทำเหมือนกันไม่ได้หรอก ท่านนบีทําเมื่อพันสี่ร้อยปีมาแล้ว เรามาทำกันเดี๋ยวนี้จะเหมือนกันได้อย่างไร”

“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเหมือนกันเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ไม่แตกต่างกันก็ใช้ได้” ซาเล็มบอก

“ถ้าอย่างนั้น ก็ทําอย่างที่ครูหวังพูดซิ” ครูเซ็มสนับสนุนครูหวัง

“ครูดีนว่าอย่างไรครับ” ซาเล็มหันมาหาครูดีนอีก

“เรื่องนะซัรเป็นเงื่อนไขหรือสัญญาอย่างหนึ่งที่เราต้องทำให้ตรงตามที่เรานะซัรไว้ ซึ่งผู้นะซัรคือคุณซาเล็มเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดหากว่าทำถูกต้อง มันก็เปลื้องภาระนั้นให้หมดไปไม่ได้ ซึ่งยังติดตัวผู้ที่นะซัรอยู่ ในกรณีคุณซาเล็ม หากว่าคุณต้องการเพียงว่า ทำแบบที่ส่วนใหญ่ไม่ผิดแปลกไปจากท่านนบีแล้วก็พอมีทาง” ครูดีนเอ่ยเรียบๆ ช้าๆ ตามเคยของแก

“ที่ครูว่าพอมีทางนั้นหมายความว่าทำตามที่ครูหวังพูดใช่ไหม ?” ซาเล็มถามครูดีน

“การตัด การโกนนั้นเหมือนกัน” ครูดีนพูดเสียงปกติ “แต่มีนิดหน่อยที่ต่างกันก็คือ ผมเข้าใจว่าในสมัยท่านเราะสูลของเราคงยังไม่มีหนังสือบัรซันยี”

“อ๋อ! จริงทีเดียว” ครูฏ็อยยิบพูดเหมือนนึกขึ้นมาได้ “หนังสือบัรซันยีมีขึ้นหลังจากท่านนบีวะฟาด(เสียชีวิต)ไปหลายร้อยปี”

“ผมก็เพิ่งนึกได้” ครูฏอฮาพูดขึ้นบ้าง “หนังสือบัรซันยีในสมัยท่านนบียังไม่มี”

“เมื่อหนังสือบัรซันยีในสมัยท่านนบีไม่มีก็หมายความว่าท่านนบีของเราทําโดยไม่ได้อ่านหนังสือบัรซันยีอย่างนั้นหรือ ?” ซาเล็มพูดด้วยความแปลกใจ “ครูดีนแน่ใจหรือครับหนังสือบัรซันยีเพิ่งมีขึ้นในสมัยหลัง”

“แน่เสียยิ่งกว่าแน่” ครูฏ็อยยิบชิงตอบอย่างมั่นใจ “ผมนึกออกแล้ว หนังสือเล่มนี้ยะอฺฟัร มะดะนี เป็นผู้เขียน เป็นบุคคลที่อยู่ในฮิจเราะฮฺที่ 1110 หลังจากนบีวะฟาดไปแล้วพันกว่าปี”

“มันจะเป็นไปได้หรือ ?” ครูเซ็มแย้ง “หรือไงครูหวัง ?” ประโยคหลังหันไปถามครูหวังซึ่งครูเซ็มเชื่อมือ

“ครูก็งงเหมือนกัน” ครูหวังพูดเสียงอ่อยๆ

“เรามันอายุมากๆด้วยกันมันก็หลงๆ งงๆ อย่างนั้นล่ะครับ” ครูดีนพูดช่วยแก้ให้ครูหวัง

“จริงซินะ” ครูหวังคล้อยตามทันที “ครูปีนี้ก็เกือบ 60 ปีแล้ว”

“ผมปีนี้ 62 แล้ว ก็งงเหมือนกัน พอครูดีนพูดก็เลยนึกขึ้นมาได้” ครูฏอฮาพูด

“ถูกของครูฏ็อยยิบ บูรดะฮฺเขียนโดยอัลบูซีรี ส่วนบัรซันยีเขียนโดยยะอฺฟัร มะดะนี คนนี้เคยป็นคอฏีบในเมื่องมะดีนะฮฺ”

“เป็นอย่างที่ครูฏอฮาและครูฏ็อยยิบพูดใช่หรือเปล่าครับ” ซาเล็มหันไปคาดคั้นกับครูดีน

“ใช่ครับ” ครูดีนพยักหน้าตอบ “และผมยังนึกได้อีกว่าท่านนบีก็ไม่ได้อ่าน “อีซีกูโบร์” ในพิธีโกนผมไฟ ขอโทษด้วยที่ผมพูดตรงเกินไป”

“ฮ้า” ซาเล็มร้องอย่างแปลกใจยิ่งขึ้นกว่าการอ่านบัรซันยี “จริงหรือครู ?” ซาเล็มกวาดสายตาไปหาครูคนอื่น “ครูหวัง ครูฏอฮา ครูฏ็อยยิบ ว่าไงครับ?”

“ผมว่างานกินบุญทุกอย่างทุกอย่างต้องอ่านอีซีกูโบร์นา” ครูเซ็มพูดเสียงแข็ง

“ถ้าไม่อ่านผลบุญก็จะไม่ถึงคนตาย”

“นั่นนะซี” ซาเล็มเห็นด้วยกับครูเซ็ม

“เรื่องอ่านอีซีกูโบร์เราไม่ควรทิ้ง ควรจะทำเพราะเป็นของเก่า” ครูหวังพูดก้มหน้า

“เรื่องนี้จะทำหรือไม่ทำแล้วแต่ใจของคุณซาเล็ม” ครูดีนพูดเรียบๆ เสียงปกติตามเคยของแก “เรากำลังพูดกันอยู่ในปัญหาที่ว่าท่านนบีทำหรือเปล่า ?”

“จริงซิ” ซาเล็มพุดเหมือนจะนึกถึงเป้าหมายในการทำของเขาขึ้นมาได้ “ผมก็อุตริไปบนบานในสิ่งที่มันสร้างปัญหาขึ้นมา”

“กฎเกณฑ์การบนบาน” ครูหวังเอ่ยขึ้นมาค่อนข้างเสียงดัง “การบนบานในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องทำตามที่เราบนไว้ก็ได้ นี่เราพูดกันตามกฎการบนบาน หรือที่เรียกว่า นะซัร”

“ถูกของครูหวัง” ครูเซ็มสนับสนุนเสียงดังขึ้นมาอีก แกศรัทธาครูหวังมาก “เมื่อเราบนบานในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเราก็ไม่จําเป็นต้องทําตามที่เราบน” ซาเล็มหันมามองหน้าครูดีนก็พบว่าครูดีนมีสีหน้าปกติ ไม่กระตือรือร้นที่จะคัดค้านหักล้างคำของครูหวัง มองครูฏ็อยยิบ ครูฏอฮาก็เห็นครูทั้งสองกําลังมองไปที่ครูเช่นเดียวกัน แต่ครูดีนกลับนิ่งเฉยจนซาเล็มต้องเตือน“อย่างที่ครูหวังกับครูเซ็มว่า จริงไหมครู ?”

“จริงครับ ถูกของครูหวังและครูเซ็ม” ครูดีนพูดช้าๆ ยังไม่ทันจบครูเซ็มก็ชิงพูดขึ้น

“ผมว่าแล้ว” ครูเซ็มได้ท่า “เรื่องอย่างนี้ครูหวังเขาผ่านมามาก มีประสบการณ์มาก”

“เดี๋ยวก่อนครับ” ครูดีนพูดเรื่อยๆ ช้าๆ ต่อไป “การนะซัรในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่เรานะซัรไว้ก็ได้ อันนี้ถูกต้องตามที่ครูหวังและครูเซ็มว่า” ครูดีนก้มหน้าพูด “แต่ใครเล่าจะกล้าพูดได้ว่าสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮฺได้ทําไว้นั้นไม่ถูกต้อง” ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครค้านหรือแย้ง ครูเซ็มมองหน้าครูหวังเหมือนจะพูดว่า “ว่าไง” แม้แต่ครูฏอฮาและครูฏ็อยยิบก็มองหน้าครูหวัง ครูดีนคนเดียวไม่มองหน้าใคร ก้มหน้าเป็นปกติ

“สิ่งที่ท่านนบีได้เคยทำไว้ทุกอย่างถือว่าเป็นสุนนะฮฺ เป็นแนวทางที่เราต้องยึดถือและปฏิบัติตาม” ครูฏ็อยยิบเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ผมจำฮะดิษได้ประโยคหนึ่งที่มีความว่า ผู้ใดไม่ต้องการสุนนะฮฺของฉัน เขาก็ไม่ใช่พวกฉัน” ครูฏอฮากล่าวขึ้นบ้าง

“แล้วผมจะทำอย่างไรดีล่ะครู ของที่เราเคยทำอยู่หากเราหยุดไม่ทำมันก็ยังไงอยู่ และเมื่อทำมันไปก็ไม่ตรงกับที่เราบนบานไว้” ซาเล็มพูดอย่างอึดอัดใจเหมือนจะขอความเห็นใจจากบรรดาครูที่นั่งอยู่ แต่ทุกคนก็นิ่งกันหมด แม้แต่ครูหวังซึ่งเป็นคนที่ช่างพูดที่สุดก็พูดไม่ออก ก้มหน้านิ่ง การนิ่งของครูหวังกับครูดีนนั้นต่างกัน ครูดีนนิ่งเพราะแกประหยัดคำพูดและเกรงว่าจะรุกรานน้ำใจกัน แต่ครูหวังนิ่ง เพราะไม่มีอะไรจะพูด ในที่สุดซาเล็มก็หันมามองครูดีน

“คุณซาเล็ม บอกผมก่อนซีว่าที่คุณไม่อยากทำตามท่านเราะสูลของเรานั้น เพราะอะไร?” ถูกครูดีนถามตรงๆอย่างนี้ ซาเล็มก็พูดไม่ออก เมื่อเห็นซาเล็มนิ่งครูดีนก็พูดต่อไป

“เราได้เรียนพื้นฐานของการศรัทธาว่า เราจะเชื่ออัลลอฮฺ เชื่อท่านเราะสูลและตามท่านเราะสูลและพื้นฐานของการศรัทธานี่แหละที่เราเรียกกันว่าอีมาน ผู้ใดมีอีมานเขาก็เป็นมุอฺมิน และเมื่อใดที่มุอฺมินไม่ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด ไม่ตามท่านนบีมุฮัมมัด เขาจะหมดสภาพจากการเป็นมุอฺมิน หมดสภาพจากการเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม คุณซาเล็มเรียนมาอย่างนี้หรือเปล่าครับ?” ครูดีนพูดเรียบๆ เรื่อยๆเหมื่อนไม่ใช่เรื่องสําคัญ

“ใช่ครับ ผมก็เรียนมาอย่างนั้น” ซาเล็มตอบอย่างฝืดคอ

“แล้วคุณซาเล็มไม่ได้ยึดถือตามนั้นหรอกหรือ?”

“ผมก็ว่าผมนับถือและยึดถืออย่างนั้น แต่นี่มันยังไงกันก็ไม่รู้” ซาเล็มพูดไม่ค่อยเต็มปาก

“เรื่องอย่างนี้อยู่ที่การตัดสินใจของคุณเอง คนอื่นช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เคยเรียน เคยรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก หากว่าคุณคิดว่าคุณอยู่ในศาสนาอิสลาม กฎเกณฑ์ของอิสลามก็อย่างที่คุณได้เรียนรู้มา การเชื่อตามอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์เป็นความจำเป็นที่มุอฺมิน มุสลิมจะต้องทำ แต่การตามความเคยชินหรือตามคนอื่นนั้น ผมยังไม่เคยพบเลยว่ามีความจำเป็น โดยเฉพาะการเชื่อและตามในสิ่งที่ขัดแย้งจนเกิดเป็นปัญหาของคุณซาเล็มอยู่ขณะนี้ ผมว่าง่ายจะตายไป เพียงแต่คุณจะตัดสินใจเลือกเอาว่าคุณจะอยู่ฝ่ายอิสลามหรือไม่เท่านั้นเอง” ซาเล็มนิ่ง ดูท่าทางอึดอัด ครูหวังเองก็อึดอัดเหมือนกัน ครูเซ็มนั้นพยายามมองหน้าครูหวังแล้วก็พยักหน้าเหมือนจะพูดว่า “ทำไมนิ่งเล่า ทำไมไม่พูด ที่เราเคยทำกันมามีหลักฐานอย่างไร พูดออกไปซี” ครูหวังมองเห็นก็รู้ท่า แต่ก็นึกอะไรไม่ออก นิ่งก็อยู่ครู่หนึ่ง ซาเล็มก็กล่าวขึ้นว่า

“เมื่อปรากฏแน่ชัดว่าท่านนบีไม่เคยทําในสิ่งเหล่านี้ วันนี้เราก็ไม่ต้องทำครับ เพื่อให้การทำในครั้งนี้เป็นไปตามการบนบานของผม” ซาเล็มพูดเหมือนได้ตัดสินใจแล้ว ‚ผมขอมอบให้ครูเป็นคนจัดทำ” เขาหันมาทางครูดีน

“ไม่ได้! คุณซาเล็ม จะให้ผมเป็นผู้จัดการคนเดียวไม่ได้” ครูดีนรีบพูดขึ้น

“เราอยู่ร่วมกันที่นี่ 5 คนด้วยกัน ต่างอาวุโสกว่าผมทั้งนั้น ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอก ผมเห็นว่าครูหวังเหมาะสมที่สุด”

“ครูดีนจะให้ครูทำอย่างไร” ครูหวังถาม

“ครูทำได้ทุกอย่างที่ครูเคยทำ” ครูดีนว่า “นอกจากสิ่งที่เรารู้แน่ว่านบีไม่ได้ทำ”

“ที่ครูเคยทำก็เริ่มด้วยการทำอีซีกุโบร์ อ่านบัรซันยี แล้วเอาเด็กมาตัดผมไฟ ตบท้ายด้วยดุอาอ์” ครูหวังพูดไม่ค่อยเต็มเสียง

“สรุปแล้วตามที่ครูเคยทำก็มี 4 อย่างคือ 1. อีซีกุโบร์ 2. นบัรซันยี 3. เอาเด็กมาตัดผม 4. อ่านดุอาอ์ แต่เมื่อเรารู้แน่แล้วว่าสองอย่างแรกท่านนบีไม่เคยทำ เราก็ทำแค่สองอย่างหลังคือ เอาเด็กมาตัดผมไฟแล้วก็อ่านดุอาอ์” ครูดีนชี้แจง

“เอาอย่างนั้นก็เอา” ครูหวังรวบหัวรวบหางสรุป “โต๊ะละแบ(ชาวปอเนาะที่มาทำพิธีในงาน เช่นร่วมกันอ่านบันซันยีให้) มากันหลายคนแล้ว” ยกนาฬิกาขึ้นดู “นี่ก็เลยเวลามาแล้ว เอาธูปหรือที่เผากำยานมาเลย” ประโยคหลังครูหวังพูดกับซาเล็ม

“ขอความรู้อีกสักนิดว่า…” ครูดีนเอ่ยขึ้นมาอีก “ใครทราบบ้างว่าในการโกนผมไฟ ท่านนบีจุดธูปหรือเผากำยาน” บรรดาครูทั้งหลายมองหน้ากันอีก

“การจุดธูปหรือเผากำยานจะทำให้เกิดกลิ่นหอม และท่านนบีก็ชอบกลิ่นหอม” ครูหวังพูดขึ้น

“การทำให้เกิดกลิ่นหอมเป็นของดีและสมควรจะทำใช่ไหมครู?” ครูเซ็มหันมาถามครูดีน แล้วก็หันมาทางซาเล็ม “หรือคุณซาเล็มว่าไง ?”

“ผมมอบให้ครูจัดการไปแล้ว และก็ได้แจ้งวัตถุประสงค์ของผมให้ทราบไปแล้ว เห็นควรทำอย่างไรก็จัดการไปเลยครับ” ซาเล็มพูด

“พิจารณาตามวัตถุประสงค์ของเจ้าภาพรู้สึกว่าจะไม่เกี่ยวกับกลิ่นหอม หรือสิ่งที่ท่านนบีชอบ” ครูฏอฮาซึ่งนิ่งอยู่นานได้เอ่ยขึ้นมาบ้าง “ขณะนี้เรากำลังอยู่บนปัญหาที่ว่า ท่านนบีของเราทําหรือเปล่า ครูเคยพบหลักฐานว่าท่านนบีเคยจุดธูปหรือเผากำยานบ้างไหมครับ”  ประโยคหลังครูฏอฮาหันมาถามครูดีน

“ส่วนตัวผมเองยังไม่พบ” ครูดีนตอบก้มหน้าตามเคย “ปัญหานี้เราก็ช่วยพิจารณากัน เรากำลังรับผิดชอบรับมอบให้ทำร่วมกัน ผมไม่เคยพบ แต่ครูอื่นๆ ที่ดูหนังสือมากกว่าอาจจะพบหลักฐานกันบ้างก็ได้”

“เราเคยพบแต่ว่า สิ่งนี้เราได้ทำกันมานานแล้ว มันคงจะมีหลักฐานและที่มา” ครูหวังว่า “หลักฐานอาจจะมี แต่เรายังไม่พบกันก็ได้” ครูเซ็มเอ่ยขึ้น

“ผมว่าถ้าเราจะเดาหรือคิดเอา พิธีการจุดธูปหรือเผากำยานนี้น่าจะมาจากการเลียนแบบพิธีกรรมของลัทธิใดลัทธิหนึ่งมาก็ได้” ครูฏอยยิบพูด “คงไม่ใช่หลักการของเราเพราะว่าต่างก็ไม่เคยพบหลักฐานจากตัวบทกันว่าท่านนบีเคยทำ”

“คุณซาเล็ม เขามอบให้เราทำตามการบนบานของเขา เราก็มีหน้าที่ทำไปเท่าที่เรารู้” ครูฏอฮาพูด “ถ้าจะคิดเอา เดาเอามันก็จะมากเรื่อง มากพิธีกันไม่รู้จบ”

“เมื่อไม่มีหลักฐานปรากฏว่าท่านเราะสูลของเราเคยทำ และตามเป้าหมายของการบนบานก็ไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เข้ามา เอ้า! ไม่ทำก็ไม่ทำกัน” ครูหวังพูดตัดบทขึ้นมาอย่างง่ายๆ “งั้นไปเอาเด็กมาได้แล้ว”

“ขอเวลาอีกสักนิดครับ” ครูดีนพูด “คุณซาเล็มทำอากีเกาะฮฺหรือเปล่าครับ ?”

“ผมเชือดแพะไปสองตัว ตัวหนึ่งเป็นอากีเกาะฮฺ เพราะลูกผมเป็นหญิง ผมจำคำของครูหวังได้ว่าลูกผู้หญิงให้ทำอากีเกาะฮฺหนึ่งตัว เมื่อโกนผมแล้วให้เอาผมมาชั่งคิดน้ำหนักทอง แล้วก็ตีราคาเป็นเงินเศาะดะเกาะฮฺ”

“ดีมาก ถูกต้องทีเดียว” ครูดีนพูดยิ้มๆมองหน้าครูหวัง ครูหวังก็ยิ้มด้วย “แล้วคุณซาเล็มตั้งชื่อบุตรของคุณแล้วหรือยังครับ”

“ผมตั้งชื่อให้เขาว่า สลามะฮฺ ครับ”  ซาเล็มตอบ “ก็จำจากครูหวังมาอีกนั่นแหละ”

“เรื่องอย่างนี้ครูหวังแม่นมาก” ครูเซ็มเชียร์ครูหวังไม่ละ แล้วการโกนผมไฟบุตรสาวของซาเล็มในวันนั้นก็ได้ทํากันอย่างง่ายๆไม่มีการอ่านบัรซันยี ไม่มีการอ่านอีซีกูโบร์ ไม่มีการจุดธูปหรือเผากํายาน ไม่มีการยืนมัรฮะบานเศาะลาวาต เพียงแต่เอาเด็กมาตัดผมเป็นพิธีคนละเล็กละน้อยแล้วก็อ่านดุอาอ์ เลี้ยงอาหารเป็นอันเสร็จพิธี ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของบรรดาโต๊ะละแบที่ร่วมอยู่ในพิธี เพราะเป็นแบบที่ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นกันมาจนเจนตา

“ทีหลังหากจะนะซัรอะไรควรคิดหน้าคิดหลังให้ดี ไม่ควรจะให้มันผะอืดผะอมแบบนี้” ครูหวังพูดหัวเราะตอนจับมือลากับเจ้าภาพ

“การแก้บนให้คุณซาเล็มในวันนี้หลายคนอาจมองหรือเข้าใจเราผิดๆก็ได้” ครูเซ็มกล่าวตอนลา

“ขอบคุณมากครับที่งานวันนี้ ผ่านไปอย่างเรียบร้อย” ซาเล็มกล่าวขอบคุณ

“และขออภัยด้วยที่บางอย่างต้องทำผิดแผนผิดแบบของครู”

“ผมต้องลาด้วย” ครูฏอฮากับครูฏ็อยยิบกล่าวพร้อมกัน

“ของคุณมากครับ อ้าวครูก็จะกลับเหมือนกันหรือครับ” ประโยคหลังซาเล็มพูดกับครูดีนเมื่อเห็นครูดีนตรงเข้ามาจับมือ

“เรียบร้อยแล้วขออัลลอฮฺได้ประทานบัรกัตแก่คุณ บุตรของคุณ และครอบครัวของคุณ ขอให้บุตรของคุณได้เติบโตขึ้นมาในความดีงาม” ครูดีนพูดเรียบๆยิ้มๆมองสบตาซาเล็ม “ผมต้องขอโทษด้วยหากว่าในการทำไปวันนี้มีอะไรที่ทำให้คุณซาเล็มไม่พอใจหรืออึดอัดใจ”

“ผมได้รับบทเรียนจากการแก้บนวันนี้‛ซาเล็มพูดมือยังจับมือครูดีนอยู่ไม่ยอมปล่อย” ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าการโกนผมไฟนั้น ท่านนบีของเราได้ทำไว้ไม่ยากเลย ง่ายๆผมได้เคยเรียนมาว่าแนวทางของท่านนบีหรือสุนนะฮฺของท่านนั้น เป็นวิธีที่ถูกต้องและประเสริฐกว่าวิธีอื่นทั้งหมด บทเรียนใหม่ที่ผมได้รับวันนี้ ครูมีส่วนช่วยอยู่ด้วยมากทีเดียว ขอบคุณมากครับ ขออัลลอฮฺได้ทรงตอบแทนความดีให้ครูด้วย วันหลังผมจะไปคุยกับครูบ้าง‛ซาเล็มพูดอย่างจริงใจและยินดีอย่างเห็นได้ชัด โต๊ะครูและโต๊ะละแบกลับกันหมดแล้ว งานโกนผมไฟของบุตรของซาเล็มผ่านไป แล้วท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์พอสมควร หลายคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงของพิธีโกนผมไฟครั้งนี้ แล้วก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่เพิ่งจะรู้ว่าพิธีโกนผมไฟที่นิยมทำกันแบบเอาหนังสือบัรซันยีมาอ่าน แล้วก็ยืนตัดผมเด็กนั้นไม่ได้มีแบบอย่างมาจากท่านนบี และก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่เริ่มเข้าใจว่าเมื่อไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี มันก็ไม่ใช่ศาสนา โดยเฉพาะซาเล็มนั้น เขารับว่าเขาเพิ่งได้ความรู้เกี่ยวกับพิธีโกนผมไฟในครั้งนี้เอง แต่เขาก็ยังไม่เชื่อสนิทใจนัก เพราะว่าบรรดาครูที่ถูกเชิญมาในครั้งนี้ก็เป็นเพียงโต๊ะครูระดับชาวบ้านหรือระดับตำบล ยิ่งครูดีนแล้ว แทบไม่มีอันดับเลย

หากเขาจะปักใจเชื่อเสียเลยทีเดียวมันก็ดูจะง่ายไป งานศาสนาเป็นงานที่จะต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เขาจะเชื่อตามใครง่ายๆไม่ได้ ความดีความถูกต้องมิใช่จะถูกผูกขาดอยู่ที่หมู่ใด คณะใดหรือคนใดโดยเฉพาะ ต่อจากนี้ไป ก่อนที่เขาจะเชื่อใคร ถามใคร เขาจะต้องสอบถามที่มา เหตุผลและหลักฐานจากอัลกุรอาน และฮะดีษหรือสุนนะฮฺของท่านนบีให้แน่ใจเสียก่อน เขาจะไม่ยึดถือตัวบุคคล ไม่ถือพวก ไม่ถือคณะอย่างเด็ดขาด ประสบการณ์ที่ได้รับจากการโกนผมไฟครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตชองซาเล็ม ที่ทำให้เขาได้มองโลกกว้างยิ่งขึ้นแทนที่จะย้ำอยู่บนความเคยชิน ยึดถืบุคคลครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ที่มา แม้แต่บุคคลในระดับที่ถูกจัด ถูกนับถือให้เป็นหัวหน้าก็อยู่ในสภาพที่ทำตามๆกันมาเช่นเดียวกัน เราเรียนเราศึกษากันมาว่าให้เชื่ออัลลอฮฺ ตามอัลลอฮฺ แต่เวลาทำกันจริงๆเรากลับหันหลังให้กับหลักการ เราตามใครต่อใครมั่วจนไม่รู้ว่ากำลังตามใคร รุกุรอิสลาม 5 ประการเรายังทำกันไม่ครบ แต่เรากลับไปสร้างพิธีการต่างๆขึ้นมาให้เป็นแบบอย่าง ให้เป็นภาระแบกกันจนแทบไม่มีเวลานมาซ เราทุ่มเทเงินทองหมดเปลืองไปในพิธีการใหม่ๆที่ได้สร้างกันขึ้นมาจนไม่มีเงินจะสงเคราะห์ให้แก่คนยากคนจน

รุกุนอีมาน 6 ประการเราศรัทธากันไม่อยากจะครบ แต่เรากลับไปไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาศรัทธา แจกจ่ายการอีมานของเราให้แก่วัตถุและบุคคลอื่นๆเรี่ยราดเปะปะ ไม่มีขอบเขตเสียงร้องของสลามะฮฺ บุตรสาว ปลุกซาเล็มให้ตื่นจากภวังค์ เขารีบเข้าไปดูเห็นบุตรสาวของเขานอนหลับตาพริ้มอยู่ในมุ้งครอบ มีภรรยาของเขาอยู่ใกล้ๆ

“นอนอยู่ดีๆก็ร้องขึ้นมา แล้วก็หลับไป” ภรรยาของเขาบอก

“เขาคงเรียกฉันให้มาหาเขาละมั้ง” ซาเล็มพูดยิ้มๆมองดูลูกน้อยในมุ้งครอบด้วยความสุขใจ ลูกคนนี้ทําให้เขาได้รับความเช้าใจในศาสนาหลายอย่าง คำพูดของครูดีนที่ให้พรจะลา แว่วขึ้นมาในหูของซาเล็มด้วยสํานวนภาษาอาหรับว่า “บาเราะกัลลอฮฺ อะลา วะละดะติกะ วะอัมบะตะฮา นะบาตัน ฮะสะนา” มีความหมายเป็นภาษาไทยว่า “ขออัลลอฮฺได้ประทานบัรกัตหรือความจําเริญให้แก่บุตรสาวของท่านและให้เขาได้เติบโตขึ้นมาในความดีงาม”

สองขีด

เขียน : ยาเขียว
พิมพ์ครั้งแรก : สมิอฺนา เล่ม 10

ขาสองข้างที่สั่นเทา ก้าวออกมาจากห้องน้ำ  มือคอยเกาะเพดานพร้อมที่จะล้มลงได้ตลอดเวลา เธอเดินมาจนถึงกลางห้อง กอดเสาแน่นด้วยความรู้สึกร้าวลึกลงไปและสับสน  มือสวยๆของเธอทาบเสาและเล็บที่จิกลงบนเนื้อปูนจนสีล่อนเข้าไปในเล็บ  บ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า หล่นลงตรงปลายเท้าที่ไร้เรี่ยวแรงคู่นั้น เธอกำสิ่งที่ทำให้เธอฮวบลงไปสู่หลุมแห่งความทุกข์ทรมาน กำไว้จนแน่น จนพลาสติ๊กสีขาวที่มีขีดสีชมพูสองขีดหักออกเป็นสองชิ้น

1

                เธอยังคงง่วนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หลังจากได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ท มาเป็นระยะหนึ่ง มันสนุกดีที่เราได้คุยกับใครๆ หลายคนผ่านจอนี้ การลงมือพิมพ์ข้อความที่อยากจะสื่อมันออกมาจะเป็นสิ่งที่อยู่ในกระแสอันเกินห้ามใจของวัยรุ่น  ไม่ว่าจะเป็นแชตทางคอม ทางมือถือ บีบี อีกสารพัด  “นา” เองก็เป็นหนึ่งในวัยรุ่นกลุ่มนั้น เธอคงไม่อาจอยู่ในสังคมอย่างทัดเทียมหากเราไม่รู้จักแชต  ด้วยโรงเรียนสอนศาสนาที่เข้มงวดกับการพบเจอกันระหว่างชายหญิง รวมทั้งสังคมที่เธออยู่ก็ไม่ชอบที่จะเห็นหนุ่มสาวพูดคุยกันอย่างสนิทสนมเท่าใดนัก แต่แน่นอน ทั้งสังคมและโรงเรียนต่างก็ไม่มีทางเข้ามากล้ำกรายถึงโลกอินเทอร์เน็ตอันสุขสันต์นี้ได้  มีคนมากมายใช้มันอย่างเกิดประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันมันกลับเป็นหายนะของชีวิตวัยละอ่อนที่ยังไม่รู้จักความร้ายกาจของโลกใบนี้

นาไม่ได้เป็นหญิงสาวประเภทผู้หญิงยิงเรือ  เธอจึงค่อนข้างระวังที่จะพูดคุยกับเพื่อนต่างเพศ และงดที่จะคุยเชิงชู้สาว เธอจึงรอดพ้นสิ่งยั่วยุมาจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 มันเป็นธรรมดาที่เราอยากคุยเรื่องเรียนต่อ ไม่ว่ากับใครก็ตาม หัวอกเดียวกัน ความลำบาก หนักใจ ตกอยู่บนเด็กม.6 ที่ต่างก็มีฝัน เธอเองก็ฝันอยากเรียนสถาปัตย์  เธอคลิกเลือกกลุ่มแชตตามคณะที่อยากเรียนและได้เจอกับฮาฟิส หนุ่มน้อยผู้อยู่ต่าง

โรงเรียนที่อยากเดินตามความฝันเหมือนเธอ

ความฝันที่เหมือนกัน ความยากของการเข้าสอบ ความหนักใจ ปัญหา การวางแผนในการเรียน เป็นบทสนทนาหลักที่สองคนใช้คุยกันผ่านโซเชียลเน็ทเวิร์คชื่อดัง  แต่กระนั้น   มันคงไม่ได้มีเพียงคำพูดที่เป็นความรู้สึกของ “เพื่อน”  ทว่าทั้งสองกำลังก้าวสู่ “ความผูกพัน”  ที่พันผูกสองหัวใจให้เป็นห่วงเป็นใยกันเรื่อยมา

2

                ชีตหนักอึ้ง อยู่บนท่อนแขนของฮาฟิส เขาค่อยๆวางใส่ตระกร้ามอเตอร์ไซค์ของนาอย่างระมัดระวัง

“ลองไปอ่านดูนะ เราไม่แน่ใจว่าจะครอบคลุมหรือเปล่า มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”  ฮาฟิสพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย นารู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีๆเหล่านั้น

นานวันก็นัดติวกัน  นานวันก็เจอกันทุกเย็น  นานวันก็แวะมาถึงบ้าน   และนานวันนาก็กล้าที่จะเดินเข้าหอฮาฟิสอย่างไม่กลัวอะไร   เมื่อเนื้อเข้าปากเสือ  ชัยฏอนที่ทำงานมากกว่าเวลาที่เซเว่นเปิด และแน่นอน เวลาที่มันเฝ้ารอก็มาถึง   คงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้น   เพื่อนของฮาฟิสที่อยู่หอข้างๆ สี่ห้าคน เงี่ยหูฟังแนบผนัง
“ไอฟิสมันเจ๋งว่ะ กูต้องจ่ายมันจิงๆเหรอว่ะ”
ว่าแล้วก็ควักเงินแบงก์พันสามใบเป็นค่าที่พนันกันไว้ว่าฮาฟิสจะจีบน้องนาแสนหยิ่งได้หรือไม่

แล้วนาก็ได้รู้จากเพื่อนของเขา ว่าฮาฟิสไม่เคยชอบเธอเลย มันเป็นแค่การพนัน  ตอนนี้ท้องสี่เดือนของเธอใหญ่มากพอที่จะมีคนดูออก  ความรู้สึกสูญเสีย ละอาย และเจ็บใจ แข่งกันถาโถมใส่เธออย่างไม่หยุดยั้ง  เธอเตาบัตครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผิดบาปที่เกาะกินในใจของเธอลดลงได้เลย  เด็กน้อยที่เกิดจากการพนันแค่สามพันบาทกำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่นาน  ความใฝ่ฝันเรื่อง

นิกาหฺ  ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่เธอวาดเอาไว้อย่างสวยงามต้องพังครืน

เธอลุกขึ้นจากการละหมาดสุนนะฮฺที่มากมายต่อวันของเธอ  เดินตรงมายังโต๊ะดราฟท์ที่วางไว้ริมหน้าต่าง โต๊ะตัวนั้นยังคงมีกระดาษวาดแบบหนีบอยู่เพื่อรอวันที่นาสอบติดสถาปัตย์  และสิ่งสุดท้าย ที่เธอเจ็บจุกราวกับมีดที่กรีดลงตั้งแต่ขั้วหัวใจลงมา นั่นคือ  การจับอัลกุรอาน  การเป็นมนุษย์ที่ทรยศต่ออัลลอฮฺ   มันช่างเป็นสิ่งที่ทำให้เธอปวดร้าวหัวใจมากกว่าสิ่งอื่นใด เธอไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเธอ  และเธอเชื่อเสมอว่าชัยฏอนั้น ไม่มีทางหลอกให้เธอทำเรื่องแบบนั้นได้แน่ อัลกุรอานในมือถูกนำมากอดไว้ตรงหน้าอก พร้อมน้ำตาอีกร้อยพันหยดที่อธิบายความรู้สึกลึกที่สุดในใจออกมาอย่างตรอมตรม

เรื่องสั้นสะกิดอีมาน//หลุมฝั่งศพศักดิ์สิทธิ์

หะ

มอกต้า ลูบิส เขียน /กันยารัตน์ ปฐมกุลมัย แปล

ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม ทั่วทั้งหมู่บ้านเซ็งแซ่กันด้วยเสียงเล่าลือ ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ครูประจำหมู่บ้าน ท่านลูเราะห์(ผู้ใหญ่บ้าน) รวมไปถึงบริวารสานุศิษย์ทั้งชายและหญิง ไม่เว้นกระทั่งลูกเล็กเด็กแดง ต่างโจษจันกันแต่เรื่องนี้ไม่หยุดไม่หย่อน

“อื้อฉาวเหลือเกิน” ฮัจญีอังโกสเอ่ยขึ้น

“น่าขายหน้าเหลือทนแล้ว” ลูเราะห์เสริม

“มันลบหลู่กันชัดๆ” ฮัจญีอับดุลเลาะห์แกว่งไม้เท้าซึ่งทำจากไม้มะเกลืออยู่ร่าๆ เครายาวเฟื้อยสีดอกเลาพลอยสั่นด้วยความโกรธจัด น้ำใสๆคลอหน่วยตาฝ้าฟางทั้งสอง

“มันเท่ากับหมิ่นศาสนาของเราด้วย” ฮัจญีอับดุลเลาะห์กระแทกเสียงหนัก   “ไอ้พวกนอกศาสนามาบังอาจแอบอ้างเรียกตัวเองว่ามุสลิมรุ่นใหม่ ที่แท้ก็พวกสันดานป่าเถื่อนไม่ผิดเดรัจฉาน” เฒ่าฮัจญีอับดุลเลาะห์สบถต่อ เงื้อไม่เท้าในมือฟาดไปที่โต๊ะดังโครม ลูเราะห์สะดุ้งโหยงอย่างลืมตัว

“ผมเห็นต้องหมดอาชีพกันคราวนี้” นายปักเคนตงครวญน้ำเสียงละห้อยด้วยความสิ้นหวัง

“หมู่บ้านของเราคงหมดชื่อเสียงไปด้วย” ลูเราะห์กล่าวเสียงเศร้า

“คนจากหมู่บ้านอื่นคงเลิกมาที่นี่ พวกเรามีหวังเสียรายได้หมดทางทำมาหากิน” ปักเคนจิล พ่อค้าคนหนึ่งในหมู่บ้านรำพันอีกราย

“ฉิบหายวายวอด” ลูเราะห์พร่ำบ่นเล่า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“พวกท่านเห็นไหมว่ามันบังอาจเอาต้นไม้ของพวกคริสเตียนมาปลูกรอบมัสยิดของมัน” ปักเคนจิลถามเสียงสั่นเครือ

“ไอ้พวกนอกศาสนาจัญไร” ฮัจญีอังโกสหลุดคำผรุสวาทด้วยความคั่งแค้น

“แกรู้หรือยังว่า พวกนั้นจะย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์จากยอดเขาแล้ว” เด็กชายอะมัต บุตรของรูเลาะห์ เอ่ยกับอันจาเพื่อนคู่หู

“พ่อฉันบอกว่า พวกนั้นมาแจ้งเรียบร้อยแล้ว ว่าจะลงมือเปิดหลุมศักด์สิทธิ์แล้วขุดเอากองกระดูกของท่านคไย(โต๊ะครู) ฮัจญี เมาลานา อาราเบีย ออกมา”

“เรื่องอะไร ทำไมต้องทำอย่างนั้น” อันจาร้องถาม

“พ่อฉันบอกว่า พวกนั้นจะสร้างมัสยิดบนยอดเขานั้น” เด็กชายอะมัตเริ่มรู้สึกสำคัญตัวเอง เด็กอื่นๆเข้ามาร่วมวงด้วย แม้แต่พวกที่โตเป็นหนุ่มจำนวนไม่น้อยก็อุตส่าห์เข้ามาฟัง เด็กน้อยยิ่งทะนงตนเป็นกำลัง

“พ่อฉันเล่าว่า พวกนั้นได้กว้านซื้อที่ดินบนเขาทั้งสามลูกกับที่ดินผืนใหญ่เลียบแม่น้ำ พ่อบอกว่า พวกนั้นกำลังจะสร้างมัดรอซะฮ์สมัยใหม่(โรงเรียนสอนศาสนา) ชนิดไม่ได้สอนกันแค่คัมภีร์กุรอ่าน แต่ยังสอนวิชาทันสมัยอะไรต่อมิอะไรอีก”

“ที่แกว่าวิชาทันสมัย มันอะไรกันวะ” เสียงหนึ่งถามทะลุกลางปล้อง

“ฉันไม่รู้เหมือนกัน” เด็กน้อยอะมัตสารภาพตามตรง ในใจนึกฉุนที่โดนคำถามยากๆแบบนี้

“แต่ฉันรู้แน่อย่างหนึ่ง” เจ้าหนูวางมาดกล่าวต่อ “ว่าพวกนั้นต้องการย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์ออกจากยอดเขาให้ได้ พวกนั้นจะสร้างมัสยิดขึ้นแทนที่”

“เสี่ยงตายเชียวนะ” เด็กอีกคนว่า “พวกมันมีหวังไม่รอด ขืนดันทุรังทำอีก”

“นั่นมันของแน่ พวกมันรู้รึเปล่า นั่นเป็นหลุมฝังศพศักดิ์สิทธิ์” อีกเสียงซักต่อ

“พวกนั้นคงไม่รู้เรื่องราวของคนขาวที่ทำยโสไม่ยอมก้มหัวเคารพหลุมศักดิ์สิทธิ์ ถึงขนาดคนขาวยกตีนขวาเหยียบบนแท่นหินที่ปักหน้าหลุม ไม่กี่วันหลังจากนั้น คนขาวมีอันเป็นไปทันตาเห็น” เจ้าหนูอะมัตกล่าว

“แล้วเรื่องแก่แฮมซัลที่ทำผิดสาบานต่อหน้าหลุมศักดิ์สิทธิ์ลงท้ายต้องตายตามนั้นอีก” อันจาเสริม

“ยังอีกปาฏิหาริย์ร้อยแปดของหลุมศักดิ์สิทธิ์ล่ะ”สหายร่วมวงอีกคนว่า

“เออ ถูกของเอ็ง แม่ข้าไปบนบานหน้าหลุมเหมือนกัน หลังจากนั้นอาทิตย์เดียวปู่ข้าก็ตาย แม่ข้าเลยได้ครองที่นามหาศาลสบายสมใจ”

“พวกแกจำนางซีตี เอจาห์ได้ไหม” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ย “แม่นั่นอยู่กับพ่อเฒ่าฮัจญีอังโกสมาเกือบห้าปีดีดัก ยังไม่มีลูกกับเขา ฝ่ายผัวจะหาเรื่องหย่าขาดแล้ว ดีที่แม่นั่นไหวตัวทัน ไปบนขอลูกกับหลุมศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถึงปีเท่านั้น ก็ออกลูกเป็นผู้ชาย ดูท่าทางแข็งแรงเสียด้วย”

“แล้วใครจะไปรู้” เจ้าหนูอะมัตกล่าวด้วยมาดสำคัญตนเช่นเดิม “ว่าการย้ายหลุมแบบนั้น มันจะไม่ชิบหายมาถึงพวกเรา ถึงหมู่บ้านของเราด้วย” ถ้อยคำของต้นทำเอาทุกคนขนลุกขนพอง แม้แต่เด็กเล็กที่ไม่ประสีประสายังก่นสาปแช่งพวกนอกศาสนาไม่ขาดปาก พวกมันจะเคลื่อนย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้เป็นอันขาด เรายอมไม่ได้

สำหรับพวกผู้หญิงในหมู่บ้าน พวกหล่อนต่างร้อนรนกับข่าวลือ แทบไม่เป็นอันกินอันนอน ถ้าหากหลุมศักดิ์สิทธิ์ถูกรื้อจริง ความศักดิ์สิทธิ์จะไม่เสื่อมไปด้วยหรือ แล้วพวกหล่อนจะมีสิ่งใดเป็นที่พึ่งในยามยากเล่า อาทิเช่น ในเวลาจะมัดใจสามีให้อยู่มือ จะจับหนุ่มเหน้าสักคนให้อยู่หมัด จะปรารถนาคู่ครองร่วมทุกข์สุขสักคน จะขอลูกสืบวงศ์ตระกูล จะขอฝนฟ้าให้ตกต้องตามฤดูกาล จะขอให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ หรือจะขอให้ปลอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งกายใจ

เท่าที่พวกหล่อนจำความได้ หลุมศพศักดิ์สิทธิ์ได้มีอยู่ ณ ที่นั้นมาแต่ไรแล้ว มีผ้ายันต์เหลืองอร่ามคลุม มีตระกูลเคนตงคอยอุปถัมภ์มาตลอดหลายชั่วอายุคน สำหรับพวกเขาและชาวบ้านทั้งหมด หลุมศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ สัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์เลื่อนลอย แต่เป็นที่พึ่งพิงจริงๆ ที่พึ่งพิงในยามทุกข์เทวษและยามที่ไม่มีสิ่งใดแน่นอนมั่นคง มันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเสียแล้ว มันมีความหมายต่อชีวิตของพวกเขาเหลือเกิน บันดาลพร้อมทั้งความอุ่นใจ พละกำลัง ความหวังเรืองรอง และความใฝ่ฝันนานัปการ

มาขณะนี้ คนแปลกถิ่นได้อุกอาจมาเปิดหลุมศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ยอมไม่ได้ เป็นตายร้ายดีจะปล่อยให้เหตุการณ์นั้นอุบัติขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด

ห

2

ที่บ้านของลูเราะห์ ที่ประชุมผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านได้เห็นพ้องต้องกันว่า ทั้งหมดจะต้องร่วมกันต่อต้านแผนการอุบาทว์ของพวกมันให้ถึงที่สุด ตกลงกันว่าจะส่งลูเราะห์และฮัจญีอังโกส ผู้อาวุโสที่สุดทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิเป็นตัวแทนไปเจรจากับคนแปลกหน้า

ถึงวันที่กำหนด ลูเราะห์และเฒ่าฮัจญีอังโกสจึงพากันไต่เขานอกตัวหมู่บ้านขึ้นไปพบนายซานุซี หนุ่มฉกรรจ์วัย ๓๖ ปี สองผู้เฒ่าเดินทางไปถึงยอดเขาที่ประดิษฐานหลุมศักดิ์สิทธิ์ เห็นซานุซีกำลังคุมงานปลูกต้นไม้ของพวก คริสเตียนง่วนอยู่จึงแผดเสียงโหวกเหวกแทนคำทักทายออกไป แต่โดยเหตุที่เจ้าของเสียงหายใจหอบด้วยความเหนื่อยจากการปีนเขา ประกอบกับเสียงกระหึ่มของรถแทรกเตอร์ที่กำลังโกยดินลงหุบเขาด้านล่าง ซานุซีจึงไม่ทันได้ยิน

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นดูด้วยอาการสะดุ้งเล็กน้อย ทันทีที่ได้ยินเสียงกล่าวสวัสดีของลูเราะห์กับฮัจญีอังโกสว่า “อัสลามุอลัยกุม” (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)

สองเฒ่าอวุโสยิ้มกริ่มชอบใจ ที่เห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่ม ด้วยต่างอ่านใจแทงตลอดถึงความรู้สึกผิดของซานุซี “เรามาที่นี่ เพื่อเจรจาเรื่องหลุมศักดิ์สิทธิ์กับคุณ เราเป็นตัวแทนของคนทั้งหมู่บ้าน และเรามาอย่างมิตร” ลูเราะห์กล่าวอย่างมีพิธีรีตองพลางปั้นท่าหยิ่งผยอง

ซานุซีตัวตรง รีบปัดถูมือกับกางเกงใส่ทำงานสีน้ำเงินแล้วยื่นมือสัมผัสตอบ “อลัยกุมุสลาม” เขาดัดเสียงขึงขังเลียนแบบอีกฝ่าย “ผมยินดีที่ท่านอุตส่าห์เดินทางมาขอเจรจาอย่างมิตร ผมเองปรารถนาใคร่จะได้พบปะชี้แจงเจตจำนงและโครงการของทางพวกผมให้ชาวบ้านได้รับทราบโดยถ้วนหน้า โดยเฉพาะแก่ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติเช่น ท่านลูเราะห์ ผู้เป็นที่นับหน้าถือตา และท่านฮัจญีผู้รอบรู้ และพวกผมเองก็ปรารถนาสันติ และความร่วมมือจากหมู่บ้านดุจเดียวกัน”

ชายหนุ่มขอให้ผู้เฒ่าตามเขาไปเรือนพักชั่วคราว อีกด้านหนึ่งของเนินเขา

ลูเราะห์และฮัจญีเหลียวกลับไปดูหลุมศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของมันบ่งบอกคุณค่าและราศียิ่งนัก หลุมนั้นสร้างขึ้นด้วยหินสีเทาคล้ำจากท้องแม่น้ำ บัดนี้ เริ่มมีตะไคร่น้ำจับเขียวเป็นพรืด ยิ่งพิศดูยิ่งขลังน่าเกรงขามและแฝงเร้นอำนาจลึกลับมากกว่าเดิม เหนือหลุมศพผ้ายันต์สีเหลืองถูกกางขึงกับไม้สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงปักไว้สี่ทิศ เครื่องเซ่นสักการะ มีไข่ไก่, มาลัยดอกมะลิ, และดอกกระดังงาวางเกลื่อนกลาด ในขณะที่ธูปในกระถางลุกแดงตลอดเวลา บริเวณใกล้เคียงกัน มีต้นลั่นทมต้นใหญ่ผูกล่ามด้วยแพะสามตัวอันเป็นของถวายจากฮัจญีมีอันจะกินท่านหนึ่งจากหมู่บ้านอื่น บางคราลูกไก่เป็นๆจะถูกนำมาเซ่นไหว้ แต่มีชีวิตอยู่หน้าหลุมได้ไม่ทันข้ามคืน ก็มีอันต้องหายลงหม้อของปักเคนตง หรือโต๊ะครูในหมู่บ้านไม่คนใดคนหนึ่ง คนเหล่านี้สามารถจัดระบบแบ่งสันปันส่วนของบูชาที่มีราคาค่างวดกันอยู่ดีอย่างเช่นเงินเหรียญ ธนบัตร ผ้าเป็นชิ้น ตลอดจนลูกไก่และแพะเซ่นสารพัด

ปักเคนตงจะวางท่านั่งสำรวมข้างหลุมศักดิ์สิทธิ์ ก้มหน้าสวดคัมภีร์กุรอานตามภารกิจของผู้อุปถัมภ์สืบต่อจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด

ภาพตระหง่านงามที่ปรากฏตรงหน้ายิ่งเพิ่มพูนความเด็ดเดี่ยวของผู้อวุโสใน

การปกป้องหลุมศักดิ์สิทธิ์ชนิดไม่คิดชีวิต ทั้งสองถอนใจเฮือกหนึ่ง แล้วจึงลากเท้าตามซานุซีไปยังเรือนชั่วคราว ภายในนั้น มีโต๊ะเก้าอี้วางโหรงเหรงนับตัวได้ แบบแปลนแผนผังตัวอาคาร ถนน และต้นไม้วางกางอยู่บนโต๊ะ ซานุซีจัดแจงเก็บโต๊ะตัวหนึ่งให้เข้าที่เข้าทาง ยกเก้าอี้ให้ผู้มาเยือนท่าทางปั้นปึ่งนั่ง

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งด้วย พลางยื่นบุหรี่ส่งให้ด้วยอาการอ่อนน้อม สองผู้อาวุโสปฏิเสธแบบผู้ดีออกไป ด้วยไม่สนิทใจที่จะสูบบุหรี่ของคู่ปรับ

ทั้งสองปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยอ้างเหตุผลว่า ไม่คุ้นเคยกับรสชาติยาสูบในเมืองเนื่องจากชินกับยาสูบที่ม้วนใบจากเสียแล้ว

“ในฐานะตัวแทนของสาธุชนชาวจิกูนิง(แปลว่าแม่น้ำเหลือง)” ลูเราะห์เริ่มการเจรจา “เรามาที่นี่ เพื่อขอร้องคุณด้วยความจริงใจ ให้ระงับการเคลื่อนย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์เสียเถิด รังแต่จะรบกวนดวงวิญญาณของท่านโต๊ะญีเมาลานา อาราเบีย เดือดดาลคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งตัวคุณเอง และครอบครัวญาติมิตรจะพลอยวิบัติไปตามๆกัน เราใคร่ขอเตือนไว้”

“ผมทราบดี และขอขอบคุณในคำเตือนด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน”

ซานุซีตอบอย่างขึงขัง “ท่านจะกรุณาเล่าความเป็นมาของหลุมศักดิ์สิทธิ์ให้ผมบ้างได้หรือไม่”

“อือม์ อือม์” ฮัจญีอังโกสกระแอมตามแบบฉบับของเจ้าตัว

ฮัจญีรอบรู้ประวัติเบื้องหลังหลุมศักดิ์สิทธิ์นี้ตลอด แกจะยอมถ่ายถอดให้เจ้าหนุ่มผู้โอหังดูสักครา

“เรื่องมันยาว” ฮัจญีอังโกสกล่าวอย่างสำคัญตน “หลุมนี้อายุเก่าแก่นมนานเกินกว่าที่ใครในหมู่บ้านจะบอกได้ว่ามีถิ่นกำเนิดมาแต่ครั้งใด มันต้องนานนับศตวรรษทีเดียวสมัยที่ชาวเกาะชวายังหลงบูชาผีสางเทวดากันอยู่  มีนักบวชท่านหนึ่งจากดินแดนอาราเบีย นำเอาศาสนาอิสลามาสู่พวกเรา ท่านผู้นี้มีนามว่า โต๊ะญี เมาลานา อาราเบีย แต่กระนั้น ยังมีผู้ไม่ยอมเชื่อท่าน คอยแต่ท้าพิสูจน์ให้ปรากฏแก่ตา คุณต้องรู้ก่อนว่าครั้งกระโน้น น้ำในแม่น้ำยังใสสะอาด อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านอาจหาญไปลองดีท่านโต๊ะญีอีก ท่านโต๊ะญีสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าให้ดลบันดาลน้ำในแม่น้ำเป็นสีเหลือง เล่นเอาใครต่อใครสิ้นพยศไปตามๆกัน คุณคงเห็นว่า น้ำใสๆกลายเป็นสีเหลืองขุ่นไปทั้งสาย มาจนกระทั่งทุกวันนี้หมู่บ้านของเราเลยได้รับขนานนามว่า “จิกูนิง” ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านทุกคนจึงเปลี่ยนมานับถืออิสลาม ท่านโต๊ะญียังได้สำแดงอภินิหารอีกมากมาย ด้วยบารมีพระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นที่ยกย่องนับถือในฐานะผู้เนรมิตสายฝนในยามแล้งและประทานบุตรแก่สามีภรรยาที่เป็นหมัน ท่านสามารถเดินทางไปกลับนครมักกะฮ์ได้ในเวลาชั่วพริบตา สิงสาราสัตว์ในพงพีมิกล้ากล้ำกรายท่านแม้เพียงเส้นผม บรรดาอสรพิษและแมลงป่องไม่เคยฉกกัดท่านเลย ท่านคือนักบุญผู้ประเสริฐสุดโดยแท้ วันที่ท่านสิ้นลมปราณท้องฟ้าพลันมืดมิดไร้แสงตะวันทั้งวัน เขาฝังศพท่านไว้บนยอดเขานี้ หลุมศพของท่านจึงได้เป็นที่สักการบูชามาจนถึงทุกวันนี้ เราจะสาธยายปาฏิหาริย์ต่างๆ ของหลุมฝังศพให้ฟัง…”

ซานูซียกมือห้าม และเผยยิ้มตามมารยาท “ผมรู้สึกเป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ถึงอย่างไร พวกผมก็จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหลุมนี้อยู่ดี พวกผมให้คำมั่นได้เลยว่าจะปฏิบัติตามพิธีทางศาสนาทุกขั้นตอน พวกผมได้ตระเตรียมสถานที่ใหม่ทำเลดีกว่านี้อีก อยู่ใกล้ตัวหมู่บ้านจะไปมาย่อมสะดวกกว่าถ่อมาถึงยอดเขาเช่นนี้”

“แต่นั้นมันเท่ากับหลบหลู่อย่างแรง พระคัมภีร์กุรอ่านได้บัญญัติห้ามขุดหรือเคลื่อนย้ายหลุมศพใดๆ“ ฮัจญีอังโกสอ้างข้อความภาษาอาหรับเป็นวรรคๆ      ซานุซีอ้างอิงข้อความภาษาอาหรับมาพิสูจน์คัดค้านกับพ่อเฒ่าฮัจญีและลูเราะห์บ้างว่าไม่ปรากฏตอนใดในกุรอ่านจะระบุการห้ามการโยกย้ายหลุมศพ ไม่ว่าจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่เพียงใดเลย

“แต่ข้ายังข้องใจในคำพูดของพ่อหนุ่ม” ฮัจญีอังโกสกล่าว “ถึงแม้พ่อหนุ่มจะดูท่าแม่นยำคัมภีร์อัลกุรอ่าน แต่ในสายตาของเราแล้ว พ่อหนุ่มไม่มีคุณสมบัติของมุสลิมที่เคร่งครัดติดอยู่เลย พ่อหนุ่มยังดันทุรังเอาต้นไม้ของพวกคริสเตียนมาปลูกอีกด้วย”

ซานุซีมีท่าทีขึงขัง “ต้นไม้คริสเตียนเรอะ ไม่ใช่นี้นา มันเป็นต้นสนธรรมดาๆ”

“ไม่ ไม่ใช่แน่ แกเรียกของแกเองว่าต้นสนไปคนเดียวเถอะ เนื้อแท้แล้วมันคือต้นไม้ของพวกคริสเตียน พวกนั้นไม่ได้เอามาปลูกมาประดับหน้าโบสถ์ของมันเท่านั้น มันยังเอาไปใช้ในพิธีฉลองคริสต์มาสอีก”

ซานุซีหายถอนใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นยืนไปหยิบหนังสือจากโต๊ะข้างเคียงมาพลิกหาหน้า จนพบภาพต้นสนรายล้อมมัสยิดโอ่อ่าหลังหนึ่ง จึงเปิดให้สองผู้เฒ่าดูเต็มตา

“นี่ไง ดูเสีย” ซานุซีร้องบอก “รูปมัสยิดในกรุงไคโรยังปลูกต้นสนล้อมรอบ ไม่ใช่ต้นไม้คริสเตียนอะไรอย่างที่ว่า แล้วรูปนี้อีก” ชายหนุ่มพลิกผ่านหลายหน้า
“นี้เป็นมัสยิดในกรุงเลบานอน มีต้นสนล้อมเป็นแถวเหมือนกัน ส่วนนี้คือ มัสยิดในอินเดีย ปลูกต้นสนไว้ในสวน แล้วยังรูปนี้ แล้วก็รูปนี้ มันไม่ใช่คริสเตียนนอกศาสนาที่ไหน มันเป็นต้นสนต่างหาก ท่านคงไม่เที่ยวประณามพวกอียิปต์ อาหรับ อินเดีย ว่าเป็นพวกนอกศาสนาไปหมดนะ เพียงเพราะเหตุผลที่ปลูกต้นสนไว้ในสวนที่มัสยิด ”

เฒ่าฮัจญีนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง มันยากอยู่ที่คนอย่างแกจะยอมแพ้ แต่แกเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับว่าหนนี้ยกให้เป็นทีของชายหนุ่มไป

“ตกลง เอาอย่างนั้นก็ได้ เอาเป็นว่ามันเป็นต้นสน ทั้งๆที่ข้าเองยังรู้สึกอยู่ตลอดทุกขณะจิตว่า มันไม่ผิดกับต้นไม้ที่พวกคริสเตียนใช้ฉลองคริสต์มาสของมัน ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันเอามันมาแปดเปื้อนมัสยิดเด็ดขาด” ฮัจญีอังโกสจ้องหน้าซานุซีเขม็ง

ซานุซียิ้มรับ มือปิดหนังสือเสีย “ฟังนะ ท่านฮัจญีผู้รอบรู้ และท่านรูเลาะห์อันเป็นที่นับถือ พวกผมมาที่นี้ในฐานะมุสลิมที่ดีเช่นเดียวกัน พวกผมต้องสร้างมัดรอซะฮ์(โรงเรียน)หลังใหม่ มิได้ไว้สอนวิชาการความรู้สมัยใหม่เพียงอย่างเดียว แต่พวกผมต้องการให้การศึกษาแผนใหม่แก่ผู้นำทางศาสนาในหมู่บ้านด้วย เขาเหล่านั้นจะเป็นผู้นำทางศาสนาด้านเดียวไม่เพียงพอเสียแล้ว จะต้องเป็นผู้นำทางสังคมควบคู่กัน จะนั่งรับทานจากชาวบ้านไปวันๆไม่ได้ จะต้องลุกขึ้นพร้อมช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแก่ชาวบ้าน ให้คำแนะนำปรึกษาทั้งเรื่องศาสนกิจ การสร้างคูคลองส่งน้ำให้มีประสิทธิภาพ การผสมพันธุ์สัตว์เลี้ยงให้ได้พันธุ์ดีขึ้น การสร้างเล้าไก่ สร้างครัว ปรับปรุงเรื่องอนามัยสาธารณูปโภค การใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติรอบตัวให้คุ้มค่า การจักสานเครื่องใช้ไม้สอยด้วยไม้ไผ่ การปั้นดินเหนียว พวกเขาจำเป็นต้องรู้วิธีการส่งเสริมงานหัตถกรรมพื้นเมืองที่ใกล้จะสูญไปตามกาลเวลา ดังเช่นงานช่างทอง ช่างเงิน ช่างตีเหล็ก เราต้องการบ่มเพาะนิสัยชาวบ้านให้ถนอมรักต้นไม้ พืชผักนานาชนิด สิงสาราสัตว์ รวมทั้งป่าเขาลำเนาไพร เราอยากจะบ่มเพาะชาวบ้านให้สำนึกว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มจากตัวเขาเองก่อนอื่นใด เพราะพวกเขานี่แหละคือพลังรากฐานของชาติบ้านเมือง พวกเราเป็นประชาชาติที่ได้รับพรจากสวรรค์ให้ได้อาศัยอยู่ในอุทยานพฤกษชาติอันรื่นรมย์แห่งนี้ เราจะต้องผดุงรักษามรดกอันล้ำค่านี้ไว้ มันเป็นหน้าที่ของเราชาวมุสลิม เป็นภารกิจของพวกเราต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้

“พ่อหนุ่มช่างเจรจาเหลือเกิน ปากคอหวานราวกับลิ้นอาบน้ำผึ้งเชียว” เฒ่าฮัจญีอังโกสประชด

“เราต้องการสร้างมัสยิดที่ตรงนั้นให้ได้ และ…” ชายหนุ่มจดจ้องฮัจญีไม่วาง “เราต้องการบูชาเฉพาะพระองค์เพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่เทวรูปหรือหลุมศักดิ์สิทธิ์ใดๆ… พระองค์ตรัสไว้ว่า

“จงละเว้นการบูชาเดือนหรือตะวัน จงบูชาเพียงเรา พระผู้สร้างโลกเท่านั้น หากเจ้าปรารถนาจะบูชาพระผู้เป็นเจ้า”

ถูกแย้งกลับด้วยประโยคที่คัดจากคัมภีร์กุรอ่านเข้า เฒ่าฮัจญีอังโกสและ     ลูเราะห์ปริปากไม่ออกสักคำเดียว เฒ่าฮัจญีเริ่มรู้สึกตัวว่าหมดหนทางเอาชนะเด็กหนุ่มผู้รู้มากเสียแล้ว แต่อย่างไรเสียแกจะไม่ยอมละทิฐิสยบหัวให้กับเด็กหนุ่มบ้าดีเดือดคนนี้ง่ายๆ

“ถ้าเช่นนั้น” ฮัจญีตัดบท “ข้าก็จนปัญญาที่จะไปขืนใจพ่อหนุ่มให้เลิกแผนการบ้าๆนั่น ในเมื่อที่ดินทั้งผืนเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อหนุ่ม ได้ซื้อมาด้วยเงินทองตัวเอง ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่เห็นแก่ชาวบ้านเขา ใครจะไปบังคับใจพ่อหนุ่มได้ แต่ขออย่างเดียวเวลาจะเคลื่อนย้าย ขอให้ประกอบพิธีบวงสรวงขอขมาลาโทษท่านเมาลานา ให้ถูกต้องด้วยธรรมเนียม อย่าให้ขาดตกบกพร่อง อย่างน้อยที่สุด ต้องเซ่นด้วยแพะสามตัว ต้องสวด… ”

“ครับ ผมเห็นด้วยกับท่านเป็นอย่างยิ่ง” ซานุซีรับคำแข็งขัน “ผมใคร่ขอให้ท่านฮัจญีรับหน้าที่ทำพิธีเลย”

เฒ่าฮัจญีใช้ความคิดในฉับพลัน หากแกรับคำ สิ่งที่แกจะได้คือศรัทธาความนับหน้าถือตาจากชาวบ้าน คิดได้ดังนั้น จึงตอบตกลง

 

3

กว่าลูเราะห์และฮัจญีจะเกลี้ยกล่อมชาวบ้านให้ยินยอมกับการขุดย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์สำเร็จต้องประสบอุปสรรคนานัปการ พวกหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งถึงกับประกาศตัวปกป้องหลุมศักดิ์สิทธิ์ด้วยกำลังทุกวิถีทาง เหลือแต่เพียงการกล่าวอ้างคัมภีร์       กุรอ่านกับคำสั่งเฉียบขาดของลูเราะห์เท่านั้นที่พอจะบรรเทาเบาบางปฏิกิริยาของชาวบ้านส่วนใหญ่ให้สงบลงได้บ้าง ว่ากันตามตัวบทกฎหมายด้วยแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในหลุมนั้นเลย เนื่องจากมันตั้งอยู่นอกอนาเขตหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง

ฤกษ์ที่วางไว้มาถึง ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านทยอยกันไต่เขาขึ้นไปร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง หลายคนส่อสีหน้าพรั่นพรึงไม่สร่างซา ขณะที่อีกไม่น้อยกลับร้องรำทำเพลงกันเป็นที่ครึกครื้น โดยเฉพาะในหมู่เด็กหนุ่มสาววัยคะนอง ได้อิ่มหมีพีมันกับอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มอภินันทนาการจากซานุซี เฒ่าฮัจญีเป็นผู้สวดน้ำพิธี คนที่ยืนรอบๆสวดตามรับกัน แพะสามตัวถูกเชือดสังเวย ปักเคนตงปลดผ้ายันต์ออกพับเก็บด้วยมือสั่นระริก ซานุซีลอบถอนหายใจอย่างหนักอก ชายฉกรรจ์ล่ำสันสี่นายซึ่งรับหน้าที่ขุดหลุมกลับยืนมือไม้แข็ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่นสุดชีวิต

ซานุซีตัดสินใจเข้ากู้สถานการณ์ด้วยการลงมือทำเป็นตัวอย่าง หยิบจอบขึ้นพลางสวดภาวนา ”ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเมตตาเขาหาที่สุดมิได้” แล้วจ้วงจอบลงไปในหลุม ทุกคน ณ ที่นั้นหยุดหายใจ ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มันจะแสดงปาฏิหาริย์

ลงทัณฑ์ชายหนุ่มให้ล้มลงแดดิ้นหรือเปล่า ซานุซีโหมแรงตักดินอีกหน ยังไม่มีสิ่งใดบังเกิดขึ้น ชายฉกรรจ์หนึ่งในสี่เกิดกล้าขึ้นและเดินเข้าช่วยซานุซีอีกแรง ในที่สุด สามคนที่เหลือก็ค่อยคลายความขี้ขลาดตาขาวเป็นปลิดทิ้ง ผู้เข้าร่วมในพิธีหายใจโล่งปอดขึ้นมาบ้าง ขุดลึกลงไปลึกลงไประดับสมควรแล้ว  แต่ยังมิพบร่องรอยสิ่งใด

“ขุดลงไปอีก”  ซานุซีเรียกร้องบอกเพื่อนร่วมงาน  ทั้งหมดก้มหน้าขุดลงไป  ขุดลงไปแต่ไม่เจอะเจอแม้แต่ซาก  และแล้วซานุซีก็บอกให้วางมือ  หันไปกล่าวแก่ชาวบ้าน  “หลุมนี้ว่างเปล่ามันหาได้ศักดิ์สิทธ์แต่อย่างใด”

ปักเคนตงหน้าซีดเผือก  ฝูงชนพลันตะลึงอ้ำอึ้ง

เฒ่าฮัจญีเห็นสบโอกาสออกแสดงบทบ้าง

“ไม่จริง  ไม่เป็นความจริง  หลุมนี้ไม่ได้ว่างเปล่า  ที่เห็นนี้เป็นปาฏิหาริย์ของท่านเมาลานาอาราเบียต่างหาก  ดวงวิญญาณท่านคงจะพิโรธโกรธกริ้ว  จึงบันดาลให้สิ่งต่างๆหายวับไป  เพื่อมิให้มนุษย์ใจบาปหยาบช้าได้มองเห็น  ถึงคราวนี้  เราเห็นจะต้องฆ่ากวางสังเวยท่าน  ให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติ  เมื่อปัดเป่าความหายนะให้พ้นหมู่บ้าน  เจ้าจะต้องเป็นคนเซ่นถวาย”  ฮัจญีชี้ใส่หน้าซานุซี

“ครับผม”  ซานุซีตัดสินใจในทันที  “ท่านฮัจญีให้เหตุผลว่า  ดวงวิญญาณของท่านเมาลานาได้ดลบันดาลให้ซากที่เหลือสิ้นสูญไป  แต่ผมขอยืนยันคำพูดเดิมว่ามันเป็นหลุมว่างเปล่า  มันไม่ได้ศักดิ์สิทธิอะไร  ผมยอมรับหน้าที่เซ่นสังเวยกวางหนึ่งตัว  แต่ต้องภายหลังจากวันนี้ไปสองสัปดาห์แล้วเท่านั้น หากมีเภทภัยเกิดกับผมภายในสองสัปดาห์นั้น ย่อมหมายความว่า ผมถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ที่บังอาจสบประมาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากผมยังอยู่เป็นปกติสุขเรียบร้อย ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์เรียบร้อยได้แล้วว่า หลุมดินนี้ว่างเปล่า มิได้มีความศักดิ์สิทธิ์แต่เพียงนิด แม้แต่ท่านเมาลานา ก็มิได้มีตัวตนอยู่จริง”

สาธุชนพากันผงะผวาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำอุกอาจของชายหนุ่มต่างนึกประหวั่นครั่นคร้ามอยู่ว่า ชายหนุ่มจะล้มพับลงจมธรณีไปต่อหน้าต่อตา แต่แล้วกลับมิมีปรากฏเหตุใดๆ      ตลอดเวลาสองสัปดาห์ มิตรสหายช่วยกันระวังระไวซานุซีทุก     ฝีก้าวจะเผลอปล่อยให้หกล้ม แข้งขาแพลงหรือหัก หรือล้มป่วยปวดท้องปวดหัวมิได้เป็นอันขาด ชาวบ้านทุกคนสะกดใจรอคอยปาฏิหาริย์อย่างจดจ่อ

ถึงกำหนดสองสัปดาห์ผ่านพ้นไป ซานุซีจึงส่งรถแทรคเตอร์ลงมือไถเกลี่ยหลุมให้ราบเรียบ

งานสร้างมัดรอซะฮ์หลังใหม่ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้ว ณ บัดนี้

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ซานุซีกำลังคุมงานง่วนอยู่ บุตรชายของลูเราะห์ก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาตามตัวเขา พลางละล่ำละลักแจ้งเรื่องปักเคนตงแขวนคอตาย ชายหนุ่มรีบกวดตามเด็กน้อยไปทันที ที่หน้าบ้านของปักเคนตง ชาวบ้านเดินเคียงได้มุ่งคอยท่าอยู่แล้ว ครั้นซานุซีมาถึง ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขยาดขยาด ซานุซีกระโดดขึ้นชานจั้มอ้าวไปในเรือน

ปักเคนตงนอนอยู่บนแคร่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านรวมทั้งฮัจญีและลูเราะห์อยู่พร้อมกันที่นั่น ซานูซีคลำชีพจรของปักเคนตง แล้วก้มศีรษะลงแนบอก จึงได้รู้ว่าหัวใจของปักเคนตงยังเต้นอยู่แต่อ่อนกำลังเต็มที

“ยังไม่ตาย” ชายหนุ่มหันมาบอก พลางรีบใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เพียงสี่สิบห้านาทีก็ได้ผลทันตา หัวใจของปักเคนตงกลับมาทำงานตามปกติ

“โอ้โห” คำอุทานได้อัศจรรย์ใจกระหึ่มขึ้นในห้องนอกบ้าน และกระจายไปทั่วหมู่บ้าน

“ปาฏิหาริย์” เสียงหนึ่งเปล่งด้วยแรงศรัทธาแก่กล้า

ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มีอำนาจลึกลับชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ อีกคนกล่าวเสียงกระเส่า

อีกคนพร่ำพูดแต่ว่าหนุ่มแปลกหน้านี้แหละคือนักบุญผู้วิเศษ โจษจันกันปากต่อปาก กระทั่งข่าวร่ำลือกันเซ็งแซ่ ทุกมุมเมือง

ส่วนปักเคนตงก็สารภาพกับซานุซี หลักจากก้มลงจูบที่มือของผู้มีพระคุณด้วยอาการนอบน้อมเยี้ยงสามัญชนผู้ปฏิบัติต่อนักบุญว่า สาเหตุที่ตนหมายจะฆ่าตัวตายก็เพราะชีวิตนี้ไร้ความหมายเมื่อได้รู้ความจริงว่าตายหลงฟูมฟักรักษาหลุมดินว่างเปล่ามาตลอดชีวิต มันมิได้ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังว่างเปล่าอีกด้วย

“แม้แต่เด็กไม่ประสีประสามันยังซุบซิบกันว่า ข้าเป็นมนุษย์หลอกว่าโคตรเหง้าตระกูลข้าทั้งตระกูลได้ตบตาชาวบ้านที่นี้และที่อื่นไปทั่ว ใครต่อใครพากันกล่าวโทษข้าคนเดียว พวกฮัจญีก็เช่นกัน หาว่าข้ามันโง่ดักดาน…” ปักเคนตงสะอื้นไห้ฮักๆ ขณะซานุซีพยายามปลอบให้กำลังใจ “มันก็เหมือนกับคนที่ยังอยู่นี้แหละ” ซานุซีว่า “ผู้นำที่ไหนสักคนมาให้คำสัญญาเป็นคุ้งเป็นแคว จนชาวบ้านหลงเป็นจริงเป็นจัง ครั้นชาวบ้านรู้ความจริงเข้า พวกเขาก็หมดศรัทธาผู้นำที่โกหกตอแหล พวกเขาไม่เห็นต้องฆ่าตัวตายเลย เปรียบไปแล้วก็เช่นเดียวกับหลุมศักดิ์สิทธิ์นี้แหละ เมื่อเรารู้ว่ามันเป็นมายาเราก็เหวี่ยงทิ้งไป ตั้งหน้าแสวงหาสัจธรรมอันใหม่”

“ท่านพูดถูก ท่านพูดถูกต้องแล้ว ท่านช่างหลักแหลมเสียนี่กระไร บัดนี้ ท่านจงเป็นนักบุญผู้วิเศษของเราเถิด” ปักเคนตงกล่าวจบ ทรุดลงจุมพิตมือวานุซีอีกคราที่สองแล้วถลันไปป่าวประกาศข่าวมงคลทั่วหมู่บ้าน

ซานุซีมิอาจต้านทานคลื่นมหาชนชายหญิงทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ ต่างกรูกันห้อมล้อมขอพรร้อยแปดพันประการให้สมมาดปรารถนา ซานุซีปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนหาใช่นักบุญที่ไหน แต่ไม่เป็นผล ทุกคนเชื่อหมดจิตหมดใจว่าด้วยพลังอำนาจในตัวซานุซี ช่วยปักเคนตงให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ขอสัมผัสแค่ปลายนิ้ว หรือน้ำที่เหลือก้นถ้วยของซานุซี ก็เพียงพอแล้ว

ทั้งหมู่บ้านกลับคืนสันติสุขอีกครา เมื่อได้นักบุญผู้วิเศษคนใหม่มาแทน

ลึกลงไปในใจซานุซี ชายหนุ่มต้องต่อสู้กับความรู้สึกขัดแย้งตัวเอง ในเวลาเดียวกัน ก็กลับรู้สึกพันธนาการกับบทบาทใหม่ที่ถูกอุปโลกน์อย่างน่าประหลาด

 

จากเรื่องThe Sacred Grave
รวมเรื่องสั้นอินโดนีเซีย “เสียงของประชาชน”  เรืองยศ จันทรคีรี บรรณาธิการ

 

อิฐก้อนแรก

1

มัสญิดหลังใหญ่ในหมู่บ้าน ดูดีมีสง่าราศีนัก พื้นที่ปูด้วยกระเบื้องเปอร์เซียนั้น ถูกทักทอด้วยเงินนับแสนบาทจากหน่วยงานรัฐที่มุ่งนโยบายเทวัตถุใส่ชุมชน โต๊ะอิมามยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจข้างรถแทรกเตอร์ สายตาเหม่อมองไปยังโดมทองอันโออ่าและใหญ่โต และสวนน้ำหน้ามัสญิดที่แปลกตา แกเคยบอกว่า “ฉันจะทำมันให้เหมือนทัชมาฮาล” คนแก่คนเฒ่าในหมู่บ้านนั่งผงกหัวหงิกๆในร้านน้ำชา “มาฮาลๆ อะไร ข้าไม่รู้จัก แต่ข้ามั่นใจในมันสมองของนักเรียนนอกอย่างอิมามอาแว” ขณะที่อีกฝากหนึ่งของโต๊ะ เด็กหนุ่มท่าทางหัวรุนแรงซึ่งชาวบ้านมักก่นด่าว่าชอบสร้างความแตกแยก โต้เถียงกับชีอะฮฺทุกวี่วัน นั่งเคี้ยวปาท่องโก๋หมุบหมับพลางจิบน้ำชาอยู่ด้วยนั้น พึมพำขึ้นมาว่า “ทัชมาฮาลมันกุบูรต่างหากเล่า กุบูรที่บิดอะฮฺ!”

2

อิมามอาแวขับรถเบนซ์ผ่านมา สวนทางกับโต๊ะสนิ หลังให้สลามพอหอมปากหอมคอ แกก็บึ่งรถเบนซ์คันงามปาดหน้าไปอย่างไวว่องแบบที่ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น ได้แต่ทิ้งควันให้โต๊ะสนิสูดดมเป็นของกำนัล ปริญญาของโต๊ะอิมามทำให้เขาทะนงตนและดูถูกผู้อื่น โต๊ะสนิเป็นชายชราคนหนึ่ง แต่เขาไม่ได้อยู่ที่ร้านโกปีในวัน “เสวนาทัชมาฮาล” แต่อย่างใด เขาเป็นคนไม่มีความรู้เพราะไม่ได้รับการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เขามีใบหน้าดำเป็นเหนี่ยง หน้ามู่ทู่อย่างกับปี๊ปเผาไฟแถมยังผอมเหมือนยอดผักบุ้ง ตอนเด็กๆ พ่อแม่มักพาออกไปจับเจ่าอยู่กับกองขยะ เป็นคนขนขยะเทศบาลผู้โดนยัดเยียดให้เกลือกกลั้วความสกปรก ก็เหมือนพวกชาวนาผู้ถูกเหยียบย่ำและถูกเรียกว่ากระดูกสันหลังของชาติอย่างแสแสร้งนั่นล่ะ แต่ครอบครัวของโต๊ะสนิ ก็ไม่ได้ยากจนถึงขนาดต้องเชือดเนื้อตัวเองปิ้งกิน เขายังไม่ตายบนความจน และใช่ว่าพ่อแม่เขาไม่อยากทำงานอื่น แต่สังคมเมืองอันโออ่าไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาต่างหาก สังคมพูดว่าเขาต้องมีปริญญาบัตรเสียก่อน มิเช่นนั้นก็อยู่ร่วมชายคากันมิได้ โต๊ะสนิใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ผ้าโสร่งสีขาวอมเหลือง และขี่จักรยานคันเก่าที่สนิมเกาะไปแล้วทั่วโครง มีถุงก๊อบแก๊บคู่ใจแขวนอยู่ที่แฮนด์รถ ในนั้นมีสก็อตไบรต์และน้ำยาล้างจาน

วันนี้เป็นวันที่ 8 ของค่ำคืนเราะมะฎอน มัสญิดโดมทองดูคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนมากมายที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ต่างมาละศีลอดและทานข้าวฟรีหลังละหมาดมัฆริบอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เด็กเล็กเด็กโตอิ่มหมีพีมันกันถ้วนหน้า โต๊ะสนิอยู่ท้ายเต็นท์หลังสุด ส่วนหน้าสุดของเต็นท์เป็นที่ของอิมามอาแวและคณะกรรมการมัสญิด นั่งจับเจ่ากินกันอย่างสำราญใจ บางวันพวกกำนันและ อบต.ก็จะมานั่งทานด้วยกัน แต่ต้องเป็นส่วนหน้าของเต็นท์เท่านั้น พวก อบต.และนักการเมืองบางคนที่มาละหมาดที่มัสญิด บ้างก็นั่งกินไปพลางและหัวเราะขลุกขลักอยู่ในลำคออบควันบุหรี่ไปด้วย โต๊ะสนิคิดเองในใจว่า เมื่อพวกเอ็งเคี้ยวข้าวอยู่ในปาก เอ็งเคยนึกถึงคนอื่นที่ไม่มีกินบ้างไหม? โต๊ะสนิได้เงินไม่กี่บาทต่อคืนในการกวาดล้างจานข้าวจานแกงของบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิที่มานั่งทานอาหารกัน หลังละหมาดอิชาอ์ชายคนหนึ่งบ่นมุบมิบว่าแกตัวเหม็น ทำไมไม่รู้จักอาบน้ำอาบท่ามั้ง แกได้แต่ยิ้มเห่ยๆ และถอยหลังมาละหมาดแถวหลังสุดของมัสญิด แต่ก็ยังมิวายโดนด่าและเหยียดหยามเพราะที่ตรงนั้นเป็นที่ของพวกเด็กๆ ผู้ดีตีนทอง ที่ตามพ่อมาละหมาดในช่วงที่มีงานรื่นเริงที่มัสญิดเท่านั้น บางคนก็พูดกับโต๊ะสนิว่าไปๆ ได้ก็ดี จะอยู่ให้เสียน้ำแกงก้นถ้วยของคนอื่นทำไมกัน โต๊ะสนิจึงตัดสินใจกลับไปอาบน้ำที่บ้าน แต่เพราะบ้านอยู่ไกลและไม่ได้มีรถเบนซ์เหมือนโต๊ะอิมาม แกกลับมาที่มัสญิดอีกครั้งเมื่อทุกคนละหมาดตะรอวีหฺเสร็จแล้ว แกเคลื่อนไหวอย่างว้าเหว่ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ ที่เฉลียงมัสญิดซึ่งเปิดทิ้งไว้ เสียงจิ้งหรีดดังแว่วเสียงมา ปลอบให้แกรู้ว่าแกไม่ได้อยู่ผู้เดียวในโลกนี้ จานชามที่ถูกใช้วางกองสูงเนินอยู่ที่ท้ายเต็นท์ แต่ไม่มีคนให้เห็นแล้ว หลายครั้งหลายครา แกก็เบื่อหน่ายและละเหี่ยใจกับสังคมแห่งนี้ ที่นี่มีแต่คนมีฐานะและชอบดูถูกแกมาละหมาด แกจึงชอบปลีกตัวขี่จักรยานคันโปรดไปยังที่ที่หนึ่ง เป็นมัสญิดเล็กๆ เก่าๆ แกชอบไปละหมาดและนั่งอ่านอัลกุรอานที่นั่น(แม้จะอ่านอย่างตะกุกตะกัก) เป็นมัสญิดที่ผู้คนอัธยาศัยดี ไม่ได้มองเขาเป็นอื่น น้องจากคำว่า “พี่น้อง”

3

เขาเดินไปปิดทีวีดัง แช๊ป! แล้วหันมายิ้มกับชายหนุ่มชาวเขาสองคน “เดี๋ยวนี้การดะอฺวะฮฺทำได้หลายวิธี อย่างที่อั๊วเปิดให้พวกลื้อดูเมื่อกี้ก็ใช่” ชายหนุ่มถามเขาว่า “เราจะมีโอกาสไปนั่งฟังบรรยายศาสนาในโรงแรมหรือในที่ดีๆ อย่างในทีวีไหมครับ” เขาตอบว่า “แน่นอน สักวัน…สักวัน อาก๋งจะพาพวกเธอไป”

อาก๋งเป็นมุสลิมคนหนึ่ง ในอดีตเขาคือสหายคอมมิวนิสต์วัย 70 ปี ผู้ตรึงตราความภาคภูมิใจของดาวแดงบนหมวกเขียวไว้บนหัวและคติประจำใจของนายใหญ่ คาร์ล มาร์กซ์ “ศาสนาคือสิ่งมอมเมาประชาชน” อาก๋งพาหนุ่มมุอัลลัฟชาวเขา 8 คนเข้าเมืองกรุงเพื่อเปิดโลกทัศน์ความรู้ศาสนาแก่พวกเขา พวกเขาตื่นตาตื่นใจกับภาพของตึกระฟ้า รถราที่วิ่งแล่นไปมาและผู้คนที่สวมชุดสูทรองเท้าหนัง เดินไปเดินมาอย่างสง่างาม ทว่าดูหย่อหยิ่งและไม่มีการทักทายระหว่างกันบนทางเท้า พวกเขาจับย่ามที่มาจากบนดอยซึ่งถักทอด้วยมือและนึกในใจว่า นี่หรือความเจริญ… อาก๋งพาพวกเขามายังมัสญิดหลังหนึ่งในเมืองกรุง มุอัลลัฟเก่าแก่อย่างอาก๋ง เอ่ยทักชายคนหนึ่ง ที่แนะนำตัวเองว่าเป็นคณะกรรมการมัสญิดแห่งนี้ อาก๋งเรียกหนุ่มชาวเขา 8 คนมาใกล้ๆ มิพลันได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ ชายคนนั้นต่อว่ากลับมาทันที “นี่มาจากป่าจากเขาหรือยังไงกัน เนื้อตัวถึงได้สกปรกแบบนี้ ออกไปเลย ที่นี่มัสญิด!” พวกเขาได้แต่ยืนอึ้งตึงกับประโยคนั้น ไม่เคยคิดว่าโคลนที่ติดอยู่บนรองเท้าแตะไร้ยี่ห้อกับเนื้อตัวมอมแมมอันเป็นร่องรอยจากการเดินทางมาแต่หนไกลเพื่อศึกษาอิสลาม จะเป็นความสกปรกสำหรับคน“มุสลิม”ที่เจริญแล้วท่านนี้ พวกเขา 6 คนตัดสินใจเดินทางกลับดอย เหลือเพียง 2 คนกับอาก๋ง ผู้ป็นผลผลิตจากหยาดเหงื่อและแรงกายของชายวัย 70 ผู้ใช้ชีวิตนับสิบๆ ปีอย่างเดียวดายเพื่อการดะอฺวะฮฺอิสลามในพื้นที่อันลำบากนั้น หายวับไปจากเขาในไม่กี่นาที

อาก๋งเป็นชายแก่ชรา แม้นเคยถือปืนลุยป่าขึ้นเขาเมื่อครั้งยังเป็นสหายคอมมิวนิสต์ แต่ตอนนี้อาก๋งทำได้แต่เพียงหันหลังกลับดอย ทำงานเพื่อพระเจ้าบนสนามดะอฺวะฮฺอันยากลำบากนั้นต่อไป ก่อนขึ้นดอย อาก๋งลงทุนพาหนุ่มชาวเขาสองคนที่เหลือลงใต้ แกบอกว่า “บางทีมุสลิมมลายูอาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ ความเป็นชนบทยังดูแลนิสัยใจคอพวกเขาอยู่” เวลาใกล้รุ่งสางแล้ว พวกเขามาถึงปัตตานีและหยุดละหมาดที่มัสญิดแห่งหนึ่ง

4

ในมัสญิดแห่งหนึ่ง…
ศอลิหฺอ่านอัซการฺยามเช้ายังไม่จบ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 20 ต้นๆ ที่จบจากโรงเรียนสามัญและเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ คนในหมู่บ้านพูดกันว่าเขาเป็นเด็กแก่แดดและชอบสร้างความแตกแยกในสังคม แต่บางคนก็มองว่าเขาเคร่งขรึมและดูน่าเกรงขามเกินตัว “ไม่ได้เรียนปอเนาะนี่ ทำเป็นเก่ง” ใครบางคนพูดไว้
เขาเคยเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียงเพื่อดูสัญญาณกิยามะฮฺ อันหมายถึงมัสญิดอันโออ่างดงามแต่ไม่มีคนมาละหมาด และเคยนั่งอยู่ในร้านน้ำชาข้างมัสญิด ในวันที่ชาวบ้านพูดคุยเรื่องสระน้ำหน้ามัสญิดของพวกเขา บางทีด้วยอุดมการณ์ศาสนาอันแรงกล้าจากการศึกษาด้วยตนเองของเขาจึงทำให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา เขานึกถึงการเปลี่ยนการพูดคุยในร้านน้ำชาให้เป็นสนามดะอฺวะฮฺ เหมือนที่อิมามหะสัน อัลบันนา เคยทำไว้ในหมู่บ้านของเขาที่อียิปต์ แต่นั่นล่ะ อุดมคติมันก็เหมือนกับยา ใช่ว่ากินได้ทุกเวลา ผู้คนในร้านน้ำชาที่นี่สนใจแต่เพียงเรื่องนกเขาชวาและฟุตบอลอังกฤษในคืนวันเสาร์ เช่นกันกับโต๊ะสนิ ชายชราข้างหน้าเขาในมัสญิดขณะนี้ ที่หลับไปแล้วหลังความพยายามอ่านอัลกุรอานหลังศุบหิของเขา ด้วยฐานะและรูปกายภายนอกผู้คนจึงไม่อยากจดจำเขานัก แต่โต๊ะสนิก็มีความฝัน เขาอยากเป็นดั่งเช่นชายคนนั้นที่เขาเคยได้ยินโต๊ะครูท่านหนึ่งได้ฝากข้อคิดไว้ “ชายหนุ่มที่หล่อเหลา เขาอาจหนีสงครามมา แต่ชายแก่ที่พิการแขนขาอาจมาจากสมรภูมิรบที่โชคเลือด โดยที่หามีใครรู้ไม่ว่า ประวัติของทั้งสองคนนั้นมาจากไหน?” โต๊ะสนิยอมเป็นชายชราที่ผู้คนรังเกียจ แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครได้จดจำว่าเขาคือคนล้างจาน 200 กว่าใบในความมืดมิดและเดียวดายตลอดค่ำคืนเดือนเราะมะฏอน ที่ผู้คนมักชอบหยิบกินอาหารขนมหวานอย่างมิบันยะบันยัง แต่รังเกียจที่จะล้างจานและแตะต้องคราบแกงออกจากจานที่ตนเองใช้เสมอ

ก่อนรุ่งสางในมัสญิดแห่งเดียวกัน อาก๋งกับหนุ่มมุสลิมใหม่ชาวดอยนั่งสนทนาพาทีเรื่องราวศาสนากับพี่น้องตับลีฆ กลุ่มหนึ่งที่มาพัก ณ มัสญิดเล็กๆ แห่งนี้ได้สามวันแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะคุยกันถูกคอทีเดียว อุปสรรคและความเศร้าโศกที่ประสบมาระหว่างทาง เหมือนถูกชะล้างพร้อมๆ กับการปรากฏของแสงอาทิตย์อันเจิดจรัสในยามเช้า…
……
ความเช้ายังมิทันกราย ความตายก็ย่างกรายเข้ามา เกิดเหตุระทึกขวัญเมื่อกลุ่มนักรบปัตตานีตัวแทนแห่งความอัดอั้นที่กลืนกินความทรมานมายาวนานจากเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อเหตุแอบซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารหลายจุดในเช้าวันเดียวกัน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมอาวุธสงครามไล่ต้อนมายังมัสญิดแห่งนี้… กลุ่มชายชุดเขียวพร้อมรบได้ล้อมมัสญิดแห่งนี้ พลางป่าวประกาศแก่ประชาชนที่มามุงดูอย่างโอหังในวาจาและเคลื่อนไหวแช่มช้อยราวกับอาการนักเทศน์ – มารร้ายในเปลือกนักเทศน์ “พี่น้องครับ ข้างในนั้นมีผู้ก่อความไม่สงบหลบซ่อนอยู่” เขาเรียกเราว่าพี่น้องอย่างไม่ละอายปาก พวกเขาตัดสินใจกระหน่ำยิงเข้าไปในมัสญิดแห่งนั้น ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างหน้ามืดตาบอดเท่านั้น แต่เพราะหัวใจที่ดำทะมึนและสกปรกมายาวนานของคนชุดเขียวส่วนใหญ่ซึ่งถูกสั่งสอนมาแล้วว่า พวกที่อยู่ในมัสญิดรวมถึงพวกมันทั้งหมดในพื้นที่สามจังหวัดนี้ไม่ใช่พวกเรา!!! ( ศุภรา จันทร์ชิดฟ้า นิตยสารสารคดี ’2548) เป็นเวลาหลายสิบนาที กลิ่นควันและดินปืนกระจายฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณบ้านของอัลลอฮฺ ที่ไม่ใช่ผู้ก่อความไม่สงบเข้าไปหลบอยู่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพี่น้องตับลีฆผู้สมถะ ศอลิหฺ เด็กหนุ่มผู้ยืนหยัดในสัจธรรม อาก๋งกับเด็กหนุ่มชาวดอยผู้ใฝ่หาพระเจ้า และโต๊ะสนิ มุญาฮิดีนผู้จากไปก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ถุงก๊อบแก๊บใส่อุปกรณ์ล้างจานของแกที่แขวนอยู่กับรถจักรยานคันเก่าสนิมเกาะหน้ามัสญิดนั้น ฉีกขาดกระจุยพร้อมกับการล้มลงของจักรยานคู่ชีวิต กระสูนของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ มักถูกใช้เพื่อสังหารเหล่าแพะแกะอยู่เสมอ

คน 3 คนที่ทำงานเพื่อพระเจ้าอย่างเดียวดาย ไม่รู้จักกัน และไม่ถูกรู้จักจากผู้คน ต้องมาตายด้วยกัน

ให้ตายเถอะ เท่ชะมัด!
ด้วยการเริ่มต้นของคนเล็กๆ
สักวันหนึ่ง… ก่อนที่ลูกหลานเราจะหลงทางไปมากกว่านี้ เราจะตระหนักได้ว่า ชีอะฮฺไม่ใช่มิตรของอิสลาม
สักวันหนึ่ง… มุสลิมจะรู้สึก…ว่ายังมีชาวเขาหรือผู้อยู่ในที่ถิ่นทุรกันดานอีกมากมายยังรอคอยสัจธรรมจากเราอยู่
สักวันหนึ่ง…เราจะเข้าใจว่า…ถ้าไม่มีคนอย่างเขา ก็อย่าได้หวังว่าคนรวยจะลงมาล้างจานด้วยตนเอง และเราจะเข้าใจ…
ว่าคนบางคนที่ดูยากจน น่าเกลียด แต่ทำไมอัลลอฮฺถึงได้รักเขามาก

“วันนี้เราขาดคนที่จะยอมตนเป็นก้อนอิฐก้อนแรกที่ทิ้งลงไปและก็จมอยู่ที่นั่น เพื่อที่จะให้ก้อนอื่นๆ ถม ทับตนอยู่ที่นั่น และเสร็จแล้ว เจ้าก้อนที่จะปรากฏเป็นที่รู้จักของสังคมก็คือ ก้อนที่อยู่เหนือก้อนอื่นสุด ส่วนก้อนแรกนั้นก็จมดินอยู่นั่นเอง เราหาคนอย่างนี้ไม่ค่อยได้ จึงไม่ค่อยมีอะไรที่ใหม่ที่มีคุณค่าออกมา”

ครูโกมล คีมทอง ’2513
ครูประชาบาลของเด็กๆผู้ยากไร้ ผู้ถูกสั่งหารบนเส้นทางแห่งอุดมการณ์

“พวกท่านคือส่วนหนึ่งของโลกอิสลาม จึงจำเป็นที่พวกท่านทุกคนต้องเตรียมตัวของเขาเอง เพื่อจะเป็นอิฐก้อนที่ใช้การได้สำหรับงานก่อสร้าง เพื่อพวกเราจะเป็นคนหนุ่มที่อุตสาหะ ผู้มีศรัทธาและถือคำสัตย์ ผู้มีดวงใจอันใสสะอาด ผู้มีความคิดที่ชัดเจน มีรากฐานที่ลึกล้ำ เมื่อพวกเรามีคุณสมบัติเช่นนี้แล้ว ก็จงเชื่อฉันเถิดว่า พวกเราสามารถเปลี่ยนกระแสธารแห่งความชั่วร้ายได้อย่างแน่นอน”

เมาลานา สัยยิด อบุลหะสัน อาลีย์ อันนัดวีย์
อุลามาอ์ของเรา

หมีมลายู เขียน / พิมพ์ครั้งแรกใน สมิอฺนาบุ๊ค ลำดับที่ ๑ –อิฐก้อนแรก

“อิฐก้อนแรก”

รวมข้อเขียนจากเพื่อนสู่เพื่อนในความมืดมิดของยุคสมัย
นำขบวนนัก(อยาก)เขียนโดย กระหม่อม ยาเขียว และเหล่าผองเพื่อน

|||16 ย่างก้าวแห่งวรรณกรรมมุสลิม จากลูกหลานชาวมลายูรุ่นใหม่|||
อ่านเลย อย่ารอช้า (PDF — 2.33 MB/91 หน้า)
คลิกดาวน์โหลด>> http://www.mediafire.com/?zoz7arcn9571r7u

เรื่องสั้นทะลวงอุตริกรรมศาสนา ในสังคมมลายูมุสลิม

พ่อจ๋า…อย่าจากไปเลย
แด่…คุณพ่อที่รัก ผู้จากไปโดยไม่รับรู้อะไรเลย
เขียนโดย หมีมลายู / วารสาร สมิอฺนา วะอะเฏาะอฺนา ลำดับที่ 12(กว่าๆ)

1

“ย่าจะรับผิดชอบเอง โซฟียา” เป็นคำพูดของคุณย่าที่จะรับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่สำหรับฉันแล้ว เรื่องนี้ เป็นอะไรที่สร้างความอยุติธรรมอย่างน่าอดสูแก่ครอบครัวเรา เป็นการน้อมรับ ติดหนี้ทางศาสนาเพื่อการงาน (อันจอมปลอม)ที่ฉันจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต

โซฟียาเคยเป็นนักเรียนปอเนาะชื่อดังแห่งหนึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่นี่เป็นอุตสาหกรรมการศึกษาแบบปอเนาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ความภาคภูมิใจและความรู้สึกปลาบปลื้ม มันอิ่มเอมอยู่ในทุกรูขุมขนของคนที่นี้ ตำราเก่าแก่เรียกที่นี้ว่าเป็น “ระเบียงมักกะฮฺ” อันเสมือนเมืองท่าที่สำคัญสำหรับผู้คงแก่เรียนทั้งหนุ่มเหน้าและคนแก่เฒ่าที่จะต้องมาเตรียมความรู้ศาสนากับบรรดาชัยค์และโต๊ะครูหลายท่านที่สถาปนาปอเนาะอยู่ ณ ที่นี้ อันจะช่วยปูทางความรู้ทางศาสนาและภาษาให้แก่คนเหล่านั้นได้นั่งเรือนานสองนานในเพลาหน้าเพื่อไปศึกษาต่อที่มักกะฮฺ-ดินแดนต้องห้าม

“วันนี้ไปเรียนไหม” ที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคำถามนี้ เพราะโซฟียาเดินทางมาที่นี้ก็เพื่อศึกษาต่อในภาคสามัญในระดับอุดมศึกษา แต่คำถามที่รูฮฺฮานี เพื่อนสนิทของเธอถามไปนั้น เป็นการเรียนวิชาที่มหาวิทยาลัยซึ่งเรียนอยู่ในปัจจุบันไม่ได้สอน คือวิชาของโลกหน้า สาระสำคัญของวิชาเหล่านี้คือ นอกจากเพื่อใช้บนดุนยาแล้ว ยังจะเป็นความรู้ให้แก่เรานับตั้งแต่ร่างที่ถูกพันด้วยผ้าขาวถูกหย่อนลงไปในรูแคบๆ พอให้ผู้ที่นอนอยู่ในนั้นพลิกขวาตะแคงซ้ายได้(พลิกได้ที่ไหนเล่า) ในวันนั้นครูผู้ถามคำถามนามว่า “มูงกัร” กับ “นากีร” มิได้ถามด้วยภาษาอันใด นอกเสียแต่ว่า “ภาษาแห่งอีมาน” โซฟียาและเพื่อนๆไม่มากคนนักจึงไขว่คว้าเพื่อที่จะเรียนวิชาเหล่านี้ก่อนที่ความตายอันหมายถึงใบเบิกทางสู่โลกแห่งหลุมอันแคบๆ มืดมิด โดดเดี่ยว ลึกลงไปในพื้นดินนั้นจะมาเยือน

“ไม่ค่อยว่างนะ”

“อ้าว เรียนไม่กี่ชั่วโมงเองนะ มาเถอะ”

ไม่ใช่คำตอบของโซฟียา แต่เป็นคำตอบของเยาวชนอีกมากมายในรั้วมหาวิทยาลัย เมื่อถูกชักชวนให้มาเรียนรู้เรื่องราวของศาสนาในท่ามกลางอายุชีวิตอย่างน้อยสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งดุนยา หลายคำตอบถ้าไม่ได้เป็นเหตุจากการงานมากมายในมหาวิทยาลัยก็จะถูกเค้นออกมาเนื่องจากความมั่นใจในองค์ความรู้ศาสนาจากปอเนาะที่ตนเองจบมา การเรียนรู้เพิ่มเติมหลังจากนั้น มันเป็นอะไรที่เกินเลยไปจากชีวิตจริงไป

รุ่นพี่มุสลิมหลายคนจึงมักต้อนรับน้องใหม่ด้วยคำพูดที่ว่า

“อยู่ที่นี้ จงจดจำคำสอนครั้นเมื่อเราอยู่ปอเนาะให้ดี นั่นนะเพียงพอแล้ว”

“อยู่ที่นี้ จงจดจำคำสอนครั้นเมื่อเราอยู่ปอเนาะให้ดี นั่นนะเพียงพอแล้ว”
โซฟียากับรูฮฺฮานีและเพื่อนๆในกลุ่มไม่คิดเช่นนั้น เรื่องอะไรกันที่จะมาทำลายประกาศิตคำพูดของเหล่าบรรพชนมุสลิมที่ว่า “จงศึกษาจากในเปลยวนกระทั่งหลุมฝั่งศพ” หรืออย่าง “จงศึกษาแม้กระทั่งไกลถึงประเทศจีน”

เป็นเวลานานของชีวิตที่นี่ พวกเธอต่างยอมสละเวลาของวิชาดุนยาอันมากมายเพื่อวิชาอาคีรัตเพียงไม่กี่วิชากับโต๊ะครูคนหนึ่งที่เดินทางไกลมาสอนโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนเป็นวัตถุใดๆ เว้นเสียแต่จะเป็นความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า และปีกที่สยายโอบล้อมพวกเขาในค่ำคืนอันมืดมิด และเสียงหัวเราะครึกครื้นสรวลเฮฮาของเหล่าปัญญาชนอีกมากมายบนถนนใหญ่หลังมหาวิทยาลัย

“มันเหมือนบ้านของท่านอัรกอม เมื่อยุคสมัยของท่านนบีไม่มีผิดเพี้ยนเลย” ใครคนหนึ่งให้คำนิยามโรงเรียนชั่วอึดใจของพวกเขา เมื่อมีคนถามว่าในท่ามกลางสังคมถอดแบบจากญาฮีลียะฮฺ พวกเธอเรียนกันที่ไหน…

2

ในขณะที่ปัญญาชนกำลังขะมักเขม้นศึกษาเล่าเรียนอยู่ในห้องแอร์นั้น นอกรั้วมหาวิทยาลัย หญิงชราแก่ง่อกแง่กเข็นรถเก็บขยะคันเล็กๆ หล่อนหันซ้ายหันขวาช้า–ช้า เพื่อมองหาขวดหรือกระดาษลังสักแผ่น อันสามารถเปลี่ยนเป็นเงินยังชีพในวันนั้นได้ เมื่อไม่เห็นแล้ว หล่อนจึงเข็นรถจากไป ไอหมาหน้าเหี่ยวแถวนั้นเห่าไล่หลังตามมาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ

“อาเยาะของกะยาได้ถึงอะญัลของอัลลอฮฺแล้ว จะละหมาดญะนาซะฮฺ เวลา 10.00 น. ที่ปัตตานี”

ข้อความประกาศละหมาดญะนาซะฮฺถูกเขียนขึ้นบนเฟสบุค กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในเครือข่ายมุสลิมที่มีอยู่ในโลกไซเบอร์ สมัยนี้เยาวชนมุสลิมมากมายทำงานศาสนาผ่านเฟสบุค จนลืมไปว่า ตนในวัยนี้นั้นทำอะไรได้มากกว่านั่งหน้าจอแล้วโพสกุรอานและหะดิษไปวันๆ

ในเวลาที่ข่าวคราวกระจายออกไปนั้น โซฟียาไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัย เธอตระหนักดีว่า ที่ๆพ่อเธอจากไปนั้นล่อแหลมต่อบางสิ่งบางอย่างมากที่สุด ครูท่านหนึ่งเคยพูดว่า บางพื้นที่ในปัตตานี เป็นที่ๆพูดเรื่องสุนนะฮฺได้ยากเย็นที่สุด โซฟียากลับไปหาพ่อของเธอเพื่อสบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย

เสียงเซ็งแซ่ดังอยู่ในมัสยิด พ่อของโซฟียาเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี้ จึงมีมิตรสหายเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม ซึ่งวันนี้ก็ชราภาพกันหมดแล้วนั้น มาเคารพและละหมาดญะนาซะฮฺแก่พ่อของเธออย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ผู้คนต่างพูดถึงสิ่งดีๆ ความทรงจำดีๆเมื่อครั้งที่เขายังอยู่ ผู้คนมากมายแต่งชุดขาว ชุดโต๊ป โพกสาระบั่นและไว้เครายาวแซมเทาพอขรึมเคร่ง เดินไปเดินมาทักทายคนที่มาร่วมละหมาด-และหวังว่าภายในใจก็คงกล่าวดุอาอฺให้ผู้จากไปด้วยเช่นกัน

“ค่าใช้จ่ายทั้งหมด มัสยิดคิดให้เป็นแสนห้านะครับ” ชายคนหนึ่งดูเคร่งขรึมด้วยเคราและสาระบั่น เดินมาพูดกับโซฟียา

“อะไรนะค่ะ!” ไม่ใช่ว่าโซฟียาไม่ได้ยินคำถาม

“เหมาจ่ายค่าต่างๆครับ ผมซึ่งเป็นอิมามและมัสยิดที่นี่จะดูแลญานาซะฮฺนี้เองครับ”

เขาแนะนำตัวเองในคำตอบ โซฟียาเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น เธอจะต้องจ่ายค่าที่พ่อเธอได้จากไปแก่มัสยิด เป็นจำนวนเงิน หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท

“นี่มันปีศาจชัดๆ” โซฟียาพึมพำในใจ

“เดี๋ยวนี้เขาหากินกับคนตาย ไว้กะรวยเลยหรือไง” เธอพึมพำอีกครั้ง

โซฟียายังไม่ได้บอกคนในครอบครัว เธอลองพินิจพิจารณาแล้วจึงรวบรวมสติและถามอิมามไปว่า

“ค่าอะไรบ้างค่ะอิมาม”

“ก็ตั้งแต่แจกจ่ายทำบุญแก่ผู้มาร่วมละหมาดนะครับ คนละยี่สิบบาท เด็กปอเนาะอีกสามคันรถจะตามมาอีก แต่ ไม่เป็นไรครับในส่วนนี้จะออกให้ก่อน แต่หลังจากนี้ครอบครัวของผู้ตายต้องรับผิดชอบนะครับ”

“ครอบครัวหนู?”

“ใช่ครับ” อิมามยืนลูบเครา ดูเป็นผู้คงแก่เรียน แต่ที่ถูกน่าจะเป็นหัวหน้าคณะอีแร้ง ผู้หากินกับมัยยัตมากกว่า

“หนูต้องไปบอกมามา(แม่)นะว่า เราจำเป็นต้องใช้จ่ายในส่วนของพิธีกรรมทางศาสนา เมื่อมีผู้ถึงแก่อะญัลในครอบครัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินแก่ผู้มาละหมาดญะนาซะฮฺ ค่าเฝ้ากูโบร์คนตายเจ็ดวัน ค่าจ้างฮาฟิซกุรอาน ค่าทำพิธีอีซีกูโบร์แก่มัยยัตในกูโบร์ รวมถึงค่าอาหารทำบุญเจ็ดวันและอีกครั้งเมื่อครบสี่สิบวัน ทั้งหมดนี้หนูไม่ต้องกังวล มัสยิดจะจัดการเอง ครอบครัวของผู้ตายเพียงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเท่านั้นครับ”

โซฟียาแทบจะร้องไห้ เมื่อที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทั้งที่คุณพ่อผู้จากไปแล้วนั้น ไม่รับรู้อะไรเลย

“แสนห้า!” คุณย่าย้ำคำพูดของโซฟียาอีกครั้งอย่างตกใจ หล่อนไม่ได้มีฐานะร่ำรวยนัก แสนห้าพอจะทำให้หล่อนต้องนั่งลงบนเก้าอี้และเอามือกุมขมับอย่างกระวนกระวายใจ

ในสังคมมลายู โต๊ะครูเป็นบุคคลที่ถูกเคารพจากชาวบ้านมาก นี้อาจเป็นเพราะพวกเขาถูกยกขึ้นหิ้งอันด้วยเพราะความรู้ศาสนามากมายที่ชาวบ้านคาดหวังจากเขา ประกอบกับสมัยก่อนภาษาในกีตาบเป็นภาษาที่ผู้คงแก่เรียนเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ ชาวบ้านจึงยึดติดกับโต๊ะครูเหล่านี้ จนบางพื้นที่ถึงขนาดเข้าใจไปเองเลยว่า ถ้าเป็นหนังสือภาษาไทยที่เขียนและสอนเรื่องศาสนานั้นห้ามอ่าน หรืออ่านได้แต่ก็ไม่บะรอกัต สถานะบนหิ้งของโต๊ะครูจึงสูงขึ้นไปอีก บางพื้นที่เทิดทูนกีตาบถึงขนาดหากทำหล่นพื้นแล้วต้องรีบคว้าขึ้นมาวางบนศีรษะสักครู่ก่อน(แม้ไม่เข้าใจเนื้อหาข้างในก็เถอะ) เป็นการไถ่โทษซึ่งยังมีให้เห็นในปัจจุบัน

การไม่ศึกษาทำให้ผู้คนหลงทางถึงเพียงนี้เลยหรือ…

ใกล้กียามัตแล้วแท้ๆ มุสลิมยังคงปฏิบัติสิ่งอุตริกรรมทางศาสนาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ภายหลังจากที่โซฟียานำเรื่องทั้งหมดไปบอกครอบครัวพร้อมออกความเห็นว่าไม่ควรยินยอมนั้น เธอถูกญาติๆบางคนบริภาษเธอว่า “เป็นพวกมูดอ” ส่วนพวกคณะกรรมการมัสญิดก็บอกว่า ”เธอเป็นวะฮฺฮาบีย์ไปแล้ว” วาทกรรมนี้เอามาใช้ประโยชน์ได้เสมอ ขอแค่ผู้ฟังเป็นผู้ไม่ยอมศึกษาข้อเท็จจริง และยึดติดกับความรู้ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

3

พ่อของโซฟียาจากไปแล้ว

เช้าวันนี้ แม้ความโศกเศร้าจะยังคงอยู่ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

“ได้ข่าวว่า อิมาม คอเต็บ พวกที่มัสยิดเฝ้ากูโบร์กันหรอ ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดกับโซฟียาขณะรอซื้อข้าวในตลาด

“ใช่ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอิมามเอง”

“ก็ระดับบิ๊กๆเขาไปเฝ้ากันหมดแหละ ปกติแล้วเจ็ดวัน เขาคิดหมื่นหกนะ”

“…”

โซฟียาไม่ได้สนทนาตอบ นี่มันนิกายหรือลัทธิอะไรสักอย่าง ไม่ใช่อิสลามแล้ว เธอเดินก้มหน้ากลับอย่างช้าๆ เรื่องราวต่างๆถาโถมเข้ามา ทำไมสังคมมุสลิมเราถึงเป็นเช่นนี้ คุณย่า คุณแม่ และครอบครัวรอทานข้าวเช้ากับเธอที่บ้าน แม้ทุกคนต่างยังโศกเศร้า แต่ก็คงน้อยกว่าโซฟียา ที่ต้องโศกเศร้าและเจ็บปวดแทนสัมคมมุสลิมของเธอเพิ่มอีก เธอนึกหวนบทสนทนาในวันนั้น

“พิธีกรรมพวกนี้ อีมามเอามาจากไหน กุรอาน หะดิษ เคยบอกให้ทำหรือ” โซฟียาพยายามเค้นความรู้สุนนะฮฺที่เคยศึกษามา

“มันเป็นสิ่งที่โต๊ะครูก่อนๆเขาทำกัน ถึงแม้อิมามไม่เคยเจอหลักฐานแต่คนก่อนๆคงเจอบ้างแหละ”
อิมามทำท่ายักไหล่ขึ้น และพูดต่อว่า

“อ้างกุรอาน อ้างหะดิษแบบนี้ เป็นวะฮฺฮาบีย์แล้วหรอ ไม่เอาน่า… เธอเพิ่งศึกษา ไม่รู้อะไรหรอก”  อิมามพูดขึ้นอย่างทระนงตน

“คำก็วะฮฺฮาบีย์ สองคำก็วะฮฺฮาบีย์ แล้วไม่ใช่กุรอานกับสุนนะฮฺนบีหรือไงที่จะพาเราเข้าสวรรค์ อิมามตอบสิ!”

“…”

เมื่อไร้คำตอบจากอิมาม

โซฟียาจึงถามต่อ

“วันกียามะฮฺ ถ้าอัลลอฮฺถามว่าเอามาจากไหน อ่านตัลกีน อ่านยาซีนให้มัยยัต เฝ้ากูโบร์ แจกเงินให้คนมาละหมาด และอีกมากมายที่อิมามว่าไว้นั้น อิมามจะตอบยังไง ใครจะรับผิดชอบ”

อิมามนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเด็กหัวดื้อคนนี้ไม่ยอมรับพิธีกรรมทั้งหมด แต่ได้รับการยินยอมจากคุณย่า      อิมามจึงยักไหล่และพูดขึ้นว่า

“คุณย่าจะเป็นคนรับผิดชอบต่ออัลลอฮฺเอง”

โซฟียาหันไปมองคุณย่าที่นั่งใจหายกับหนี้ที่จะตามมา คุณย่าก้มมองพื้นและพูดขึ้นว่า

“ย่าจะรับผิดชอบเอง โซฟียา”

“…”

โซฟียาหันไปมองอิมามอีกครั้ง อิมามทำท่าลูบเคราและยักไหล่อีกเหมือนเคย

โซฟียาพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป

—จบ—

ป.ล.
1-เรื่องสั้นนี้ มีเค้าโครง ตัวละคร(นามสมมุติ) มาจากเหตุการณ์จริงทั้งหมด
2-ภาพประกอบจาก nationalgeographic.com / ภาพละหมาดญะนาซะฮฺชะฮีดท่านหนึ่งในปากีสถาน

สมรภูมิรบอัตตัรบียะฮฺอิสลามิยะฮฺ

1

ผมนั่งมองตัวเองผ่านเศษกระจกบานเล็กๆ สภาพของมันมีรอยปริแยกและรอยเขม่าควันติดเป็นหย่อมๆไม่ต่างจากใบหน้าของผมในกระจก เขม่าควันกับรอยลิ่มเลือด ปรากฏให้เห็นบนใบหน้า ผมหายใจหอบและหืด และแทบจะไม่สม่ำเสมอ เหงื่อก็ไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ขาขวาของผมตอนนี้ บาดเจ็บหนัก พริบตาเดียวของแรงระเบิด ผมใจสั่นระริก มารู้ตัวภายหลังว่าขาขวาผม ขยับไม่ได้เสียแล้ว

ผมมองใบหน้าผมอีกครั้ง มันโทรม และน่าสะพรึงกลัว แววตาในกระจกเหมือนกับแววตากวางหนุ่มในทุ่งหญ้าแอฟริกา ที่ตกใจและกลัวจับใจ กับฉากการตะครุบเหยื่อของสิงโตดุร้ายพวกนั้น

เมื่อเดือนก่อน…พวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อที่จะเติมเต็มประโยคที่ว่า

“ มุสลิมเป็นพี่น้องกัน เปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกัน ส่วนใดเจ็บปวด…”

ทีนี้ในอดีตเคยถูกโลกเรียกว่าปาเลสไตน์ ประเทศนี้สำคัญต่อประวัติศาสตร์โลกอย่างมาก ศาสนายิว คริสต์ และอิสลาม ก็มีบทบาทเป็นอย่างมากในดินแดนนี้ บรรดาบรมศาสดาของพระเจ้าที่เรารู้จัก เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเคยเดินทางและพานักอยู่ที่นี้เช่นกัน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างนบีดาวุด(เดวิด) กับนบีสุไลมาน(โซโลมอน) ก็ปกครองที่นี้มาก่อน

แต่วันนี้มันไม่ใช่ของเราแล้ว โลกไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะเรียกที่นี้ว่า ประเทศปาเลสไตน์ หรือ ประเทศอิสราเอลดี จิตใจของผม กระวนกระวาย หัวใจผมเต้นถี่ขึ้น ร่างกายผมร้อนผ่าวไปหมดทั้งตัว

“อะอูซุบิลลาห์ ฮิมินัชชัยฏอน นิรรอญีม”

ผมพึมพำภายใน ผลักไสมารร้าย และ ความเลวร้ายออกไป ผมมีอัลลอฮฺอยู่

วันนี้เป็นวันที่เก้าของสงครามกลางเมืองแล้ว ผมและพี่น้องมุญาฮีดีนอีกหลายคนต่างกระจัดกระจายไปตามหน้าที่ที่อมีรสั่งการ ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง ตลอดเวลาของสงคราม ยิวมันเล่นโยนระเบิดจากเครื่องบิน มันโปรยลงมาแบบไม่เลือกเป้าหมาย เด็ก คนแก่ มันกวาดไปเรียบ เป็นการต่อสู้ที่ขี้ขลาดตาขาวมาก ผมเห็นแล้วมันช่างคล้ายวิถีสงครามของอเมริกาเสียจริงๆ ไม่ว่าประเทศอันธพาลนี้จะรบที่ใด ญี่ปุ่น เวียดนาม อัฟกัน อิรัก พวกมันไม่กล้าที่จะรบด้วยทหารราบเลย ตัวอย่างในญี่ปุ่นชัดเจนที่สุด พวกมันบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ ด้วยการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ “Little boy” ลงฮิโรชิมา และ นางาซากิกับอีกลูก เพื่อที่จะบีบบังคับให้กองทัพญี่ปุ่นทั้งในและนอกที่กาลังสู้รบกับอเมริกา ยอมแพ้แต่โดยดี พวกมันไม่เคยรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตหนึ่งในนางาซากิ หรือชีวิตหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นผู้เฒ่าที่รอตายอย่างสงบท่ามกลางญาติๆ หรือแม้แต่เด็กทารกผู้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกในวันนั้น ผู้คนตายไปนับแสนเพื่อเหตุผลสกปรก อย่างเพื่อป้องกันพลเมืองอเมริกัน หรือ ความจาเป็นในสงครามบ้าๆ ที่พวกทหารเป็นคนก่อ ไม่ไช่ประชาชนตาดาๆเหล่านี้เลย หรือเพื่อเหคุผลลับที่โลกไม่ยอมโง่พอที่จะทาเป็นไม่รู้ อย่างเช่น เป็นการทดลอง(สูตร)ระเบิดลูกใหม่ เป็นต้น หรือจะเป็นตัวอย่างในการรบที่อัฟกัน พวกมันบีบนักรบฏอลิบาน ด้วยการทิ้งระเบิดปูพรมคาบูล เมืองหลวงและเมืองต่างๆ ประชาชนล้มตายมากมาย จนมุลลอฮฺ อุมัร ต้องนำนักรบฏอลิบานลงไปตั้งหลักที่เมืองทางตอนใต้ชื่อ คอนฏอฮัร โดยท่านกล่าวว่า เราจะไม่อยู่ที่เดิม เพราะนั้นหมายถึงชาวบ้านในเมืองจะต้องตายมากยิ่งขึ้นดวงตาเคล้าน้ำตาของคุณปู่คนหนึ่งในวันที่ผมและเพื่อนๆอีกเจ็ดคนมาที่นี่ยังคงตรึงใจผม ปู่คอลิดบอกผมว่า เค้าดีใจมากที่เด็กหนุ่มอย่างเรามาร่วมกันสู้“แล้วพวกเอ็งมากันแค่นี้หรอ…” ปู่คอลิดพูดพลางเอามือเหี่ยวๆ แต่อบอุ่นของแกลูบหัวผมตามประสาคนแก่ใจดี…ว่าแล้วก็คิดถึงพ่อขึ้นมาเลย

“เอ่อ…คือที่จริงที่มหาลัยของผมมีเด็กหนุ่มอย่างพวกเราอีกเยอะครับ แต่..”

ผมชะงักลงไป เพราะอะไรบางอย่าง

วันนั้น ผมไม่มีคำตอบให้คุณปู่ ว่าทำไมพวกเราถึงมากันแค่นี้

ปู่คอลิดบอกเราว่า ชีวิตของเขา ห้าสิบปีมาแล้วที่ต้องอยู่แบบนี้ พวกเราต้องถูกกดขี่และไล่ออกจากบ้านตัวเอง พวกยิวมันเอารถบูลโดเซอร์คันใหญ่ มาขุดและถอนบ้านพวกเราออกไป นอกจากพวกมันจะอพยพมาอยู่ที่นี่และไล่พวกเราไปแล้ว แม้แต่บ้านมันก็สร้างใหม่ขึ้นมาทับบ้านหลังเก่าของเรา เพราะพวกมันถือว่าพวกเราที่ไม่ไช่ยิวหรือกอยยิมนั้น เป็นสัตว์เดรัจฉาน บ้านเรามันยังรังเกียจที่จะเห็นและสัมผัส

“มันเห็นบ้านเราเหมือนรูหนูนั้นล่ะ” ลุงคอลิดพูด

“เหมือนคนบางคนที่เห็นสัตว์เดรัจฉานเป็นไม่ได้ ต้องไล่ตีและทุบรังมันออกมา”

“เราก็เหมือนพวกหนูขี้โรคนั่นล่ะ” ลุงคอลิดปิดท้ายวงสนทนาในวันนั้น

ที่นี่เรามีมัสยิดอัลอักศอ ที่ครั้งหนึ่งกษัตริย์ไฟซอล กษัตริย์ซาอุยุคหลังหนึ่งเดียวที่พยายามปกป้องที่แห่งนี้ จนพระองค์ต้องเสียชีวิตไป แต่วันนี้พวกทหารยิวครอบครองอยู่ มันไม่ให้พวกเราเข้าไปละหมาด เด็กๆเราต้องสู้กับมัน พวกเราไม่มีปืนแต่มีก้อนหินกับจิตใจที่แข็งแกร่ง

และนั่นมันหนึ่งเดือนมาแล้ว…

ตอนนี้ เมืองของเราในปาเลสไตน์ถูกยิวครอบครองไปหมดแล้ว โดยที่ประเทศที่เรียกตัวเองว่ามุสลิมรอบๆเราได้แต่มอง ไม่ทำอะไรเลย และเมืองต่อไปก็คือที่นี้ ฆ็อซซะ ผมคิดถึงคุณปู่คอลิด ตอนนี้แกเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเปลวเพลิง พวกยิวมันทิ้งระเบิดลงมาเกือบทุกแห่ง บ้านและมัสยิดของพวกเราถูกพังอย่างราบคาบ พวกมันกระชากเด็กสาวและคนแก่ขึ้นรถ คัมภีร์ตัลมูดของพวกมัน ถือว่าเราเป็นสัตว์ มันจะทำอะไรกับเราก็ได้

พวกยิวขยี้พวกเราอย่างโหดร้ายที่สุด โลกอาหรับได้แต่จัดประชุมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลย สองวันก่อนผมได้ข่าวว่ามีพี่น้องเราหลายคนพยายามหนีภัยข้ามแดนไปยังอียิปต์ แต่ประเทศมุสลิมประเทศนี้ ที่ครั้งหนึ่งเป็นจุดกำเนิดของขบวนการคนหนุ่มสาวที่พวกยิวมันกลัวนักกลัวหนา กลับห้ามไม่ให้พี่น้องมุสลิมด้วยกันหนีเข้าไปหลบภัย ซ้ำยังมีการร่วมมือกับอิสราเอลในการสร้างรั้วเหล็กกั้นระหว่างสองประเทศ ไม่ให้ผู้หลบภัยมุสลิมใช้เป็นที่หลบหนีได้อีก

2

ท่านพร้อมไหมที่จะตาย เพื่อให้คนอื่นมีชีวิตอยู่

ท่านพร้อมไหมที่จะเจ็บ เพื่อให้คนอื่นสุขสบาย

ท่านพร้อมไหมที่จะล้มลง เพื่อให้คนอื่นลุกขึ้นยืน

ท่านพร้อมไหมที่จะปลูก เพื่อให้คนอื่นเก็บกินสิ่งนั้น

ผมนึกถึงคาพูดของอิมาม หะสัน อัลบันนา ฮีโร่ของพี่น้องปาเลสไตน์ ท่านไม่มีโอกาสเห็นว่าประเทศอียิปต์ปัจจุบันเป็นเช่นไร ผมรู้มาว่าครั้งหนึ่งตอนที่ท่านยังเด็ก ท่านตั้งขบวนการชื่อ “ส่งเสริมความดี ห้ามปรามความชั่ว” กับพี่ชาย ท่านทำงานศาสนาตั้งแต่เด็ก อยากให้ประเทศนี้เป็นอิสลามมากแค่ไหน เที่ยวเดินเคาะประตูเพื่อนบ้าน ให้ตื่นสุบฮฺ และไปละหมาดร่วมกันที่มัสยิด และเมื่อครั้งพวกท่านโตขึ้น ก็ร่วมกันต่อสู้กับยิว ตั้งขบวนการอิควานอัลมุสลิมูน มีทั้งเด็กหนุ่มมากมาย นักคิด และนักปราชญ์ เข้าร่วมกับท่าน ซัยยิด ซาบิกนั้นเป็นไง ซัยยิด กุฏุบอีกล่ะ และท่าน ชัยค์อะหฺมัด ยาซีน อีกคนพวกท่านช่างกล้าหาญเหลือเกิน พวกท่านรักอัลอิสลามที่อัลลอฮฺให้มาเหลือเกิน พวกท่านทางานรับใช้อัลลอฮฺ โดยไม่เกรงกลัวมนุษย์ผู้ใด ท่านหะซัน อัลบันนา เหมือนว่าท่านถูกทาให้เกิดเพื่อศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเพื่อให้มุสลิมในยุคหลังตระหนักถึงหน้าที่ตนเอง ว่าต้องทำอะไรให้อิสลามบ้าง… ท่านซัยยิด กุฏุบก็เช่นกัน เสมือนว่าท่านถูกทาให้เกิดมาเพื่ออัลลอฮฺ และเพื่อประทับตัฟซีรอัลกุรอานที่ดีที่สุดชื่อหนึ่ง “ฟีซิลาลิลกุรอาน” ให้มุสลิมยุคหลังได้รู้ว่า อัรกุรอานนั้นสาคัญต่อมุสลิมเหลือเกิน เสมือนสิบห้าปีในคุกของท่าน ก็เพื่อที่จะเขียนมันออกมาให้ครบ และถูกคาสั่งประหารทันที หลังจากนั้น

….

ผมพิงหลังตัวเองเข้ากับผนังบ้านหลังหนึ่ง และเงยขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้หลังคาสังกะสีหายไปแล้ว แต่มีหลังคาเป็นควันดำทมึน ลอยผ่านไปเป็นหลังคาระยะๆ พวกยิวยังคงใช้ระเบิดหนัก และเสียงปืนก็ประงมกันดังในโสตประสาทผมอย่างไม่รู้จบ

ผมแอบมองผ่านรูเล็กๆรูหนึ่งที่ผนัง ผมเห็นทหารยิว 3 คนกาลังขับรถฮัมวี่ที่ผลิตในอเมริกา ท่าทางพวกมันจะสนุกน่าดู แต่ที่น่าตกใจคือ ด้านหลังรถมีคนที่ถูกลากถูไปกับพื้นคนหนึ่ง เสียงของเขาร้องดังลั่น บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ ผมนึกถึงอิมามอะหฺมัด หันบาลี (ขออัลลอฮฺเมตตาท่าน) ที่เมื่อครั้งเป็นปราชญ์หนึ่งในสองคนเท่านั้น ที่ไม่ยอมสยบต่อคำสั่งคอลีฟะฮฺอัล-มุอฺตะศิม ที่ดำริให้ทุกคนเชื่อว่ากุรอานไม่ไช่กาลามุลลอฮฺ แต่เป็นมัคลูก ท่านถูกเรียกเข้าพบและลงโทษด้วยวิธีการสารพัดสารเพ ท่านถูกทุบตีแปดสิบกว่าครั้ง บางรายงานบอกว่าท่านถูกลากไปกับพื้นดิน ไปทั่วเมือง เพียงเพราะต้องการรักษาความจริงและไม่ยอมสยบต่อสิ่งอุตริกรรมใดๆทั้งสิ้น

ขณะที่มีคนไปเยี่ยมท่านที่คุกและบอกว่า พฤติกรรมท่าน เสมือนเหล่านบีจริงๆ ท่านก็ตอบไปว่า ‚เงียบเลย ที่จริงแล้ว ฉันไม่เห็นสิ่งใดมากไปกว่าประชาชนกาลังขายอิสลามของพวกเขา และฉันเห็นบรรดาอุละมาอ์ที่อยู่กับฉันขายความศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นฉันจึงถามตัวเองว่า ฉันเป็นใคร ? ฉันเป็นอะไร ? ฉันจะไปกล่าวอะไรต่ออัลลอฮฺในวันพรุ่งนี้ เมื่อฉันยืนต่อหน้าพระองค์แล้วพระองค์ถามฉัน ถ้าฉันขายอิสลามเหมือนคนอื่นๆ ? ดังนั้น ฉันจึงมองดูไม้ที่เฆี่ยนตีและดาบ แล้วฉันก็เลือกมัน

‛อิมามอะหฺมัดยอมให้ถูกลงโทษ จนลูกศิษย์ท่านชื่อ อัล-มัรฺรูฎียฺ ต้องไปบอกว่า ‚โอ้ ครูที่รักของฉัน อัลลอฮฺได้กล่าว่า ‘จงอย่าฆ่าตัวตาย’‛ แต่อิมามอะหฺมัดไม่ได้คิดเช่นนั้น ท่านสั่งให้ อัล-มัรฺรูฎียฺ ไปดูที่กำแพงเมือง ที่นั่นมีคลื่นนักศึกษามากมายที่ถือปากกาและสมุดบันทึกอยู่ในมือของพวกเขา รอจดบันทึกสิ่งที่ อิมามอะฮฺมัดจะพูด

“โอ้ มัรฺรูฎียฺเอ๋ย ฉันจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จากการที่ฉันนำทางพวกเขาเหล่านั้นไปในทางที่หลงผิด ?(หมายถึงยอมรับสิ่งอุตริเหล่านั้น และกลายเป็นคำสอนแก่คนทั่วไปโดยปริยาย)”

นี่ล่ะ นักสู้ที่แท้จริง พวกท่านถูกทดสอบอย่างหนักจากศัตรูและสิ่งต่างๆ แต่พวกท่านก็ไม่เคยจะยอมแพ้ พวกท่านไม่เคยหนีจากมัน

ผมมองทหารมุสลิมคนนั้น แล้วนึกถึงอิมามอะหฺมัด มันเกินจะบรรยายจริงๆ ยาอัลลอฮฺ…

สักพักหนึ่ง ทหารยิวสามคนนั้นก็จับ ทหารมุสลิมผู้เป็นเหยื่อ เดินมาที่กำแพงแห่งหนึ่ง มันสั่งให้ยืนและหันหน้าใส่กำแพงนิ่งๆ ก่อนหน้าที่ร่างอันบอบช้ำนั้นจะลุกขึ้นและเดินไปที่กำแพงนั้น แววตาของใบหน้าของเขาโชกไปด้วยเลือด ผมจำหน้าเขาไม่ได้ แต่ผมเห็นรอยยิ้มของเขาพร้อมกับมือที่ถูกกำขึ้นมาชี้ขึ้นไปบนฟ้า อัลลอฮุอักบัร…พวกเราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องปกป้องอิสลามของเราจากศัตรู พวกเราไม่เคยคิดที่จะทิ้งอิสลาม ผมยังจำแม่น ท่านเมาดูดีย์เคยกล่าวไว้ว่า

‚ถ้าคุณไม่มั่นใจในการศรัทธาต่ออิสลาม คุณก็ทิ้งอิสลามเถิด‛ ผมเข้าใจดี เพราะจะสลักสำคัญอะไรถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่อิสลามสอน อิสลามใช้ และอิสลามห้าม สมัยนบีของเรา ศอฮาบัตท่านก็เชื่อในอิสลามอย่างมาก พวกเขาทุ่มทั้งชีวิตและทรัพย์สินแด่อิสลาม ท่านมุฆีเราะห์ บิน ชุอฺบะฮฺ(ร.ฏ.) ในเหตุการณ์หุดัยบียะฮฺ ขบวนของท่านรอซูล(ซ.ล.) ถูกห้ามเข้ามักกะฮฺ อุรวะฮฺผู้ปฏิเสธคนหนึ่งมาสังเกตการณ์มุสลิม เขาพยายามจะเข้ามาดึงเคราท่านรอซูล แต่ท่านมุฆีเราะห์ ก็รีบเดินเข้าไปผลักออกไปให้พ้นท่านรอซูลผู้เป็นที่รักของพวกเขาก่อน

ท่านกอตาดะฮฺ อิบนุ นุอฺมาน(ร.ฏ.) ก็เช่นกัน ชายผู้นี้เอาศรีษะตนเองเป็นเกราะกำบังศรีษะท่านรอซูล จนโดนอาวุธอัดเข้าใส่ ตาของเขาหลุดออกมาจากเบ้า ท่านรอซูลได้นากลับที่เดิมและวิงวอนต่ออัลลอฮฺว่า “โอ้อัลลอฮฺ เขาได้ปกป้องใบหน้าศาสนทูตของพระองค์ ดังนั้นขอพระองค์ทรงรักษาใบหน้าของเขา และให้เขามองเห็นดีขึ้นด้วยเถิด”

ถึงวันนี้ ผมเคยคิดในใจ ว่าทำไมนะทำไมอัลลอฮฺไม่ทำให้อิสลามชนะเสียเลย ทำไมเราถึงต้องต่อสู้มาทุกยุคทุกสมัย ผมนึกขึ้นได้ ครูคนหนึ่งเคยบอกว่า เพราะทุกอย่างเราต้องเดินทาง ต้องปฏิบัติ ต้องใช้ปัญญา และที่สำคัญเพราะสวรรค์เป็นของผู้ที่ทำงานแล้วเท่านั้น ไม่ใช่คนที่อยู่เฉยๆ

3

สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมและเพื่อนๆอีกหลายคนตระหนักดีกับคำว่าทางานอิสลาม หรือ ทำงานรับใช้อัลลอฮฺ อะไรทำนองนี้… มีครูมาสอนวิชาการศาสนา หลักการขัดเกลาจิตใจอยู่ทุกวัน แต่ก็ทำได้แต่อิบาดัตส่วนตัว คิดไม่ออกสักทีว่า เราจะทำอะไรให้อิสลามได้บ้าง พวกเราได้แต่ปลอบใจตัวเอง ว่าแค่การเรียนก็คืออามานะฮฺเรา ณ ตอนนี้แล้ว จงเรียนอย่างถึงที่สุด แต่ลึกๆแล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าแค่นี้มันเล็กน้อยมาก น้อยจริงๆ เมื่อเทียบกับช่วงวัยของพวกเรา เราทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่เราก็ไม่ได้ทำครูผู้เป็นมุร็อบบีของพวกเรา เคยบอกว่า หากพวกเรายิ่งศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามมากเท่าใด เราก็จะยิ่งรู้สึกว่าความเป็นมุนาฟิกมันอยู่ในตัวเรามากขึ้น ก็เพราะชีวิตของมุสลิมนั้น คือการมองคำตอบที่อยู่เบื้องหลังเรา มองท่านนบี มองบรรพชนอิสลามในอดีต เพราะคำตอบที่ถูกต้องนั้น อยู่ที่พวกเขาเหล่านั้น

แต่ในวันนี้ พวกเรากลับไขว่คว้าหาคำตอบจากที่อื่น พวกเราเลยพ่ายแพ้ต่อทุกอย่างบนโลกนี้ ผมได้แต่คิดว่าเมื่อไรเราถึงจะได้อยู่ในวันแห่งชัยชนะ ในวันที่ผมจะนำหลักการอิสลามสู่ศัตรู โดยก้าวแรกของนักรบที่เดินเข้าเมืองด้วยจรรยามารยาทซึ่งแม้แต่ในสงคราม อิสลามก็สอนเอาไว้

โอ้…มุสลิม เมื่อเกิดสงครามและท่านเดินเข้าสู่เมืองศัตรู ท่านอย่าได้แหงนมองบนหลังคาบ้าน เพราะที่ตรงนั้นมีเด็กและผู้หญิงอยู่ ท่านอย่าได้ควบม้าให้แรงนัก เพราะเด็กในเปลอาจร้องไห้ได้ และเจ้าจงปฏิบัติต่อศพศัตรูเหมือนเขาเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ เพราะเมื่อเขาตาย เขาก็เป็นลูกหลานอดัมเหมือนกับท่าน

โอ้อัลลอฮฺจ๋า…อิสลามของเราช่างสวยงามเหลือเกิน

แต่วันนี้ คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพี่น้องเรา กลับผลักไสเรา ฆ่าเรา เหยียบย่ำเรา ทารุณกรรมเราอย่างโหดเหี้ยมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และคนที่บอกว่าเราเป็นพี่น้องกันก็ได้แต่มองพวกเรา ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับงานของอัลลอฮฺเลย พวกเขาได้แต่ปลอบใจตัวเอง กับอามานะฮฺอันน้อยนิดที่มีอยู่กับตัวเอง

หัวใจผมสั่นระริกขึ้นมาอีกแล้ว แขนขาผมสั่นสะเทือน ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ แต่ไม่เป็นผล ผมแนบหลังกับผนัง ขณะที่ขาขวาของผมและพื้นห้องบริเวณนั้น เหมือนมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดคลุมมันไว้ ผมมองไปที่มัน ดวงตาผมเห็นมันมีสองท่อน ทุกอย่างมีสองอันหมด ไม่ไหวแล้ว…อัลลอฮฺ ฉันจะตายแล้วใช่ไหม

อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ วะ…

ผมค่อยๆขยับตัว ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้ ผมเอาแขนขวายันพื้นเพื่อโน้มตัวไปที่รูเล็กๆนั้น อินนาลิลลาห์…ทำไมตัวของฉันถึงได้หนักขนาดนี้ ผมรู้สึกได้ถึงตัวของพ่อ ท่านถึงอะญัลของอัลลอฮฺในอ้อมแขนของผม ตัวท่านทั้งก่อนและหลังอะญัล ชั่งหนักเหลือเกิน วันนี้ผมกำลังสัมผัสมัน

มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นับตั้งแต่อยู่บนโลกนี้มากว่า 20 ปี

ผมค่อยๆเกร็งสายตาที่ตอนนี้มันไม่อยากจะเปิดออกแล้ว ผมแค่จะมองเพื่อนผมคนนั้น ผมจำได้แล้ว ไอ้หมัดนี่เอง ไอ้หมัดอีกแล้ว…เพื่อนของผม เพื่อนที่สอนให้ผมรู้จักความเป็นพี่น้องในอิสลาม เพื่อนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าตัรบียะฮฺ เพื่อนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าเพื่อนรับใช้ เพราะการรับใช้จะไม่หวังการตอบแทนจากเพื่อน แม้ตัวเองจะต้องแลกกับเวลาหรือความสุขของตนก็ตาม เขาเป็นเพื่อนคนเดียวที่ประกาศว่าจะรับใช้พี่น้องทุกคน

ผมยังจำคาพูดของเขาได้ ตั้งแต่วันแรกที่พวกเราได้ร่วมวงทำฮาลากอฮฺกันที่บ้านหลังนั้น เขาคนนี้แหละ ติผม ว่าเวลาเรียกชื่อคนให้เรียกชื่อเต็ม เขาบอกว่ามุสลิมโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีชื่อสวยๆให้ใช้

วันนี้เขาอยู่ต่อหน้าผมอีกครั้ง เขานอนจมกองเลือดอยู่ต่อหน้าผมไม่กี่เมตรข้างหน้า ทหารยิวระยำสามคนนั้น ยืนหัวเราะกันใหญ่ เสียงดังมาถึงผม มันคงจะยิงใส่เขาด้านหลัง หลังจากที่ให้เขาหันหน้าใส่กำแพงเมื่อครู่นี้

ระยำเอ้ย…

ผมยังคงเปล่งคำสบถได้ มันเหลืออดจริงๆกับพฤติกรรมของยิวพวกนั้น

4

“มุฮัมมัดกลับไปหาอัลลอฮฺแล้ว”

นึกถึงคาพูดท่านอบูบักร หลังจากท่านนบีจากไป ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ท่านอุมัรยืนถือดาบคิดจะทำร้ายใครก็ตามที่บอกว่านบีตายแล้ว ท่านอุสมานก็เหมือนเด็กคนหนึ่ง นั่งกอดเขาร้องไห้อยู่ที่มุมบ้าน แต่ไม่มีอะไรจะขัดขวางความจริงได้ มุฮัมมัดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และมุฮัมมัดต้องตาย…

วันนี้มุฮัมมัด เพื่อนผมก็จากไปเช่นกัน

ชื่อของนายสวยจริงๆ ด้วย ผมนึกในใจก่อนดวงตาผมจะปิดลง ภายใต้ความเจ็บปวดที่เหนือคำบรรยาย นี่แค่กำลังจะตายยังเจ็บขนาดนี้ แล้วความเจ็บจากความตายมันเป็นแบบไหนกัน นบีเราเองยังบอกว่าต้องเจ็บเหมือนกันเลย อัลลอฮฺจ๋า…ฉันจะทนได้ไหม

ท่ามกลางความเจ็บปวด ผมเห็นทหารยิวสามคนนั้น เดินเข้ามาหาบ้านที่ผมหลบอยู่ มันคงรู้มานานแล้วว่ามีคนอยู่ด้านใน คงจะตั้งใจเยาะเย้ย เหยียดหยามผม ด้วยการเชือดมุฮัมมัดให้ผมดู มือขวาของผมกำปืน .38 แน่นหนึบอยู่ที่พื้น มันเป็นอาวุธติดตัวยามฉุกเฉิน ในลูกโม่ตอนนี้มีลูกปืนเหลืออยู่หนึ่งนัด…

หนึ่งนัดเท่านั้น

ผมจับมันขึ้นมาแนบที่อก ที่ด้านในของมัน หัวใจผมยังคงสั่น…สะเทือน

ผมกำมันให้แน่นยิ่งขึ้น

ทหารยิวสามคนนั้น ก็เดินเข้ามาหาผมแล้ว…

เสียงบู๊ตทหารเข้ามาใกล้ผมยิ่งขึ้น

ผมนึกถึงคำสอนครูคนเดิม ขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง…

“เมื่อทั้งสนามรบ พี่น้องของท่านตายหมด เหลือแต่ท่านคนเดียว พลังที่มีคืออีมานเท่านั้นว่าเราคือของอัลลอฮฺ พระองค์เพียงยืมเรามา เพื่อวัดความเสียสละต่ออัลลอฮฺ และแน่นอนเมื่อความช่วยเหลือมา จะไม่มีอะไรแตะต้องได้”

ผมรู้แล้วว่าต้องทำอะไร

ผมขยับไกปืนให้ตรงกับลูกปืนในลูกโม่

เสียงมันดัง แกร็ก…

ฉันพร้อมแล้วอัลลอฮฺ สามคนนั้นก็คงพร้อมแล้วเช่นกัน…

อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ วะอัชฮะดุอันนะมุฮามะดันรอซุลุลลอฮฺ…

หมีมลายู l วารสารสมิอฺนาฯ เล่ม 4.5

เสียงของชายฉกรรจ์

ผมตื่นขึ้นมาตี 5 หลังจากที่นอนไปได้สักประมาณ 4 ชั่วโมง มันถือว่าน้อยกว่าปกติมาก เพราะอยู่ในช่วงสอบ ตามความเป็นจริงแล้ว เวลาอิกอมัตยังเหลืออีก 30 นาที ผมลุกขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าห้องนํ้าทำความสะอาดร่างกาย พร้อมกับตั้งใจไว้ว่าจะละหมาดสุนัตก่อนศุบหิ เพราะมันมีคุณค่ามากกว่าโลกนี้และเนื้อในของมัน ระหว่างที่เดินไปห้องนํ้า ผมเห็นบางสิ่งบางอย่างผ่านร่องเปิดของประตูห้องๆหนึ่ง(มันคือห้อง TV) เสมือนเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกันมานาน ผมถูกเก้าอี้ตัวนั้นร่ายมนต์ดำเข้าใส่ เดินเข้าไปในห้อง วางร่างกายอันเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือ แล้วก็หลับไปพร้อมกับความมืดภายในห้อง เสียงอิกอมัตจากกล่องเสียงของชายฉกรรจ์คนหนึ่งดังกึกก้องกังวานไปทั่ว ผมรู้ทันทีว่าผมพลาดโอกาสสำคัญของวันนี้ไปแล้ว

ภารกิจแรกที่ต้องทำในตอนเช้าของวันนี้คือการอ่านหนังสือในรายวิชาสุดท้ายที่ต้องสอบ เดิมที..ผมเป็นคนชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตในห้องเรียน ห้องสมุด เป็นปัญญาชนคนอ่านหนังสือ อ่านไปได้สักพัก สักครึ่งชั่วโมง ความไม่เข้าใจก็เริ่มคืบคลานเข้ามา ความเครียดเข้ามาโจมตีความรู้สึก จู่ ๆก็มียุงตัวหนึ่งบินมาดูดเลือดที่แขน มันใช้เวลาดูดนานพอควร จนทำให้ท้องของมันดูคล้ายกับหญิงที่อุ้มท้อง 9 เดือน มันช่างโลภจริงๆ หากเพียงมันดูดครั้งละน้อย ก็คงบินหนีไปได้อย่างสบาย มันบินแล้วก็หยุด-บินแล้วก็หยุด ด้วยความที่มันโลภและตามนัฟสู… ผมจึงบีบมันให้ตายซะ

ขอเปิดเฟซบุคสักหน่อย เผื่อมีเพื่อนๆ เด็กเรียนมาโพสต์แนวข้อสอบกัน ในโลกออนไลน์ใบนี้คงเป็นที่แห่งเดียวที่มนุษย์ไอทีสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ เป็นเศาะลาหุดดีนผู้ปลดปล่อยเยรูซาเล็ม เป็นอัลดุลลอฮฺ อัซซาม ผู้มอบอิสรภาพแก่พี่น้องอัฟกานิสสถานจากกำมือของสหภาพโซเวียต หรือจะเป็นทนายสมชาย ผู้ไขกุญแจประตูห้องขังแก่พี่น้อง 3 จังหวัดผู้บริสุทธิ์ หลังจากกด ชัตดาวน์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ดับไป ใบหน้าของตัวเองสะท้อนออกมาจากหน้าจอที่ดำสนิท มันบอกผมว่ายังไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองจากกิเลสที่ครอบงำจิตใจ

หลังจากสอบเสร็จ ทุกคนต่างไปทำกิจกรรมที่ได้วาดฝันเอาไว้ จากจุดนี้ ทำให้บางคนมองว่าเราเป็นปัญญาชนเพราะดูจากมหาวิทยาลัยและคณะที่เรียน แต่บางคนก็มองว่าจนปัญญาเพราะดูจากกิจกรรมยามว่างที่เราทำ

ผมเองรีบพาเบ็ดขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปยังแม่นํ้าเพื่อเสาะเเสวงหาปลาที่มิได้มีความหมายถึงแค่ความเก่งกล้าสามารถ เพราะคนตกปลารู้ดีว่าสิ่งที่ได้รับมันมีมากกว่าปลาหรือความตื่นเต้นตอนปลาติดเบ็ด มันคือการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺที่ให้เราได้อยู่กับต้นไม้ สายลม ท้องฟ้า แดดกล้า ไอเย็นของนํ้า ล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์ของมันเอง นํ้าในลำห้วยกำลังอยู่ในระดับลึกของช่วงต้นฤดูฝน กระแสนํ้าขุ่นข้นราวกับทะเลโคลนเดือดพล่าน ตลอดแนวลำห้วยมีพุ่มไม้ที่ปรากฏให้เห็นกระจัดกระจาย ที่ฝั่งตรงข้าม ตัวเหี้ยขนาดใหญ่ตัวหนึ่งถูกพัดพาอัดติดกับกิ่งไม้ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ตามแรงกระชากของสายนํ้า จะปีนขึ้นก็ไม่ไหว จะปล่อยตัวให้ลอยไปตามสายนํ้าเชี่ยวก็ทำไม่ได้ ดูเป็นภาพที่น่าเวทนาไม่น้อย มันเป็นตัวเหี้ยที่โตเต็มที่ และคงผ่านอะไรมามากก่อนที่จะถูกกระแสนํ้าตรึงไว้

คืนนี้ผมนอนเร็วเป็นพิเศษ ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากที่อดหลับอดนอนมาหลายวัน พร้อมกับตั้งใจไว้ว่าจะละหมาดสุนัตก่อนศุบหิ เพราะมันมีคุณค่ามากกว่าโลกนี้และเนื้อในของมัน เสียงอิกอมัตจากกล่องเสียงของชายฉกรรจ์คนหนึ่งดังกึกก้องกังวานไปทั่ว ผมรู้โดยทันทีว่าผมพลาดโอกาสสำคัญของวันนี้ไปอีกแล้ว

เขียน:แชแว
ตีพิมพ์ครั้งแรก:วารสาร สมิอฺนา วาอตออฺนา เล่ม08

ชีวิตนายแดงและนายเขียว

ที่นี่คือมหาลัยของนายแดงและนายเขียว
ปีนี้เด็กมุสลิมเข้ามหาลัยเยอะแยะ…………หอเต็ม…เย้ยยยยย

นายแดงอยู่หอ 1
นายเขียวก็อยู่หอ 1

นายแดงตื่นซุบฮฺเกือบ 6 โมง ละหมาดคนเดียว
นายเขียวตื่นสี่ครึ่งละหมาดตะฮัดญุด ปลุกซุบฮฺเพื่อนๆ และละหมาดเป็นญามาอะฮฺ

นายแดงนอนต่อ………..กรอกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
นายเขียวไม่นอน อ่านอัสกัร อ่านอัลกรุอานและอ่านหนังสือทบทวนวิชาเรียน

นายแดงเรียน 8 โมง แต่ตื่น 10 โมง รีบวิ่งไปเรียน………..ฮึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
นายเขียว ก็เรียน 8 โมง แต่ออกไปตั้งแต่7 โมง กินข้าวเช้า เดินไปเรียนอย่างสบายใจ

นายแดงเรียนเสร็จ 4 โมงเย็น เดินอย่างสบายใจกลับมาที่หอพัก
นายเขียวก็เรียนเสร็จ 4 โมงเย็น รีบวิ่งหลับมาที่หอพัก เพื่อละหมาดที่ห้องละหมาด

นายแดงเสร็จจากละหมาดคนเดียว ไปเล่นฟุตบอลหน้าหอ 6
นายเขียว ละหมาดญามาอะฮฺ เพื่อนๆชวนก็ไปเล่นฟุตบอลหน้าหอ 6

………..เวลามัฆริบ………….

นายแดงยังเล่นฟุตบอลต่อ
นายเขียวรีบกลับมาอาบน้ำ แล้วลงมาอาซานห้องละหมาด

นายแดงเพิ่งกลับมาจากเล่นฟุตบอลหน้าหอ 6
นายเขียวศึกษาอิสลามในวงฮาลาเกาะฮฺ………..อาอูซูบิลละฮิมินัชชัยฏอนนิรรอญีม

นายแดงไปกินข้าวแล้วนั่งวงน้ำชากับเพื่อนๆ……..ฮะๆๆฮา
นายเขียวยังละหมาดอีชาที่ห้องละหมาด

นายแดงกลับหอ เข้าห้องทีวี ดูละคร”สวรรค์เบี่ยง”
นายเขียวกินข้าวกับเพื่อนฮาลาเกาะฮ แล้วขึ้นไปชมรมมุสลิมเข้าร่วมกิจกรรมกับรุ่นพี่

นายแดงดูสวรรค์เบี่ยงจบ แล้วเริ่มโทรศัพท์หาใครบางคนที่หอ 3-4
นายเขียวกลับหอจัดตารางเรียน ทบทวนบทเรียนและอ่านหนังสือก่อนนอน

นายแดงก็ยังโทรศัพท์หาใครบางคนที่หอ 3-4 ยังไม่เสร็จ
นายเขียวนอนหลับ

…………..วันดีคืนดี มหาลัยก็เริ่มสอบ……………

นายแดง………..เฮ้ยยยยยย
นายเขียว……….อืมๆๆๆ

นายแดงเริ่มหาชีทที่อาจารย์สอนมา 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มยืม lecture เพื่อนถ่าย
เอกสาร นายเขียว อ่านจบก่อนสอบ 1 สัปดาห์ เริ่มติวหนังสือให้เพื่อน

………..พรุ่งนี้สอบ…………..

นายแดงอ่านหนังสือโต้รุ่งทั้งคืน แต่ก็ยังอ่านไม่ทันอีกบท
นายเขียวนอนหลับ ตื่นขึ้นมาละหมาดตะฮัดญุด ปลุกเพื่อนที่ส่วนใหญ่มีน้อยมากที่นอน และละหมาดญามาอะฮ จากนั้นก็ทบทวนบทเรียนที่จะสอบเป็นรอบที่3

นายแดง ใช้เวลาที่เหลืออ่านหนังสือ หน้าห้องสอบ
นายเขียวใช้เวลาที่เหลือ คุยสนุกสนานกับเพื่อนๆๆ

………..ประกาศผลคะแนนสอบ…………..

นายแดงตก mean เกือบทุกวิชา………..อืมมมมมมมมม
นายเขียวได้Top ของห้องเกือบทุกวิชา……….เย้ยยยยยยยยยยย

นายแดง drop

……………… 4 ปีผ่านไป ……………

นายเขียวได้เกียรตินิยมอันดับ 1
นายแดง โดนรีไทล์ ตั้งแต่ปี2 กลับไปเป็นเด็กแว้นแถวๆหมู่บ้าน พร้อมกันนั้นยังรับจ้างวิจัยฝุ่นเป็นบางครา

ถ้าอยากรู้ว่านายเขียวใช้ชีวิตอย่างไร?
ศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงๆจังๆตามแบบอย่างของท่านนบีซิครับ.

เขียน : นิรนาม
วารสาร สมิอฺนาฯ เล่ม1

วันเวลาที่เปลี่ยนไป

วันเวลาที่เปลี่ยนไป

– ชาวถ้ำ-

ตีพิมพ์ครั้งแรก : โลกของวงเล็บ

เมื่อว่างเว้นจากการเรียนในวันหยุดสุดสัปดาห์ของมหาวิทยาลัย  เป็นวันที่ต่างคนต่างวาดฝันที่ตัวเองอยากทำ  บางคนอ่านหนังสือที่ชอบ  บ้างก็สะพายเบ็ดขึ้นไหล่ไปตกปลาเหมือนเพื่อนรักของผม  และคนอีกส่วนหนึ่งก็ทำกิจกรรมสันหลังยาว ที่ทำให้ตัวเองสูญเสียความเป็นคนสุขภาพดีไป

เมื่อคนเราหลุดจากกรอบบังคับของการเรียนที่ถูกกำหนดมาแต่ละสัปดาห์  ก็ล้วนเป็นความปกติของมนุษย์ที่อยากทำอะไรตามที่ตัวเองคิด  เพราะแท้จริงแล้วอิสรภาพกับความเป็นมนุษย์มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว  ประหนึ่งเหมือนแสงจันทร์กับดวงดาวบนท้องฟ้ายังไงหยั่งงั้น  เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ย่อมทำให้โลกจืดชืดไม่มีความสวยงามเหลืออีก  ผมเป็นคนหนึ่งเมื่อมาถึงวันหยุดของการเรียนที่อยากทำโน่นทำนี่  แต่เนื่องจากว่าวันนี้เมฆฝนที่ก่อตัวบนท้องฟ้าดำมืด มันเหมือนกับใบหน้าของคนที่กำลังโกรธเลย  แต่เมื่อหยดน้ำฝนเริ่มตกลงมากระทบพื้นดิน  มันกลับทำให้พืชพันธุ์งอกเงยมาอีกครั้งท่ามกลางความสดชื่นของหลายๆชีวิตบนผืนโลก

เมื่อนึกถึงฤดูฝน  มันทำให้ผมนึกถึงชีวิตในวัยเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นอกเมือง(ชนบท)  ซึ่งผมเป็นคนชอบน้ำฝนมาตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้สาเหตุ  แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันย่อมต้องมีสาเหตุ  เพราะพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นบางอย่าง  มันมาจากจิตใต้สำนึกในตอนที่เราเป็นเด็ก  แล้วมันก็ส่งผลในรูปของพฤติกรรมตอนที่เราเป็นผู้ใหญ่

ในหมู่บ้านตอนหน้าฝนมักมีกิจกรรมมากมายให้ทำ  เช่น  ดักปลาในคลอง  ตัดไม้ไผ่ทำเป็นแพไว้เล่นตอนน้ำท่วม  ขุดมันสำปะหลังมาต้มให้กลิ่นหอมโชยจิ้มแกล้มกับเนื้อมะพร้าวอ่อนขาวเนียนที่ขูดเนื้อของมันสดๆและผสมเกลือบ้างพอเค็ม  กินท่ามกลางหลายมือที่หยิบเข้าปากอย่างสนุกสนาน  มีเสียงกล่อมจากหยาดฝนกระทบแมกไม้และเวิ้งหลังคาอย่างเบาๆ การละเล่นหรือวิถีชีวิตทั้งหลายมันเป็นสิ่งที่คนก่อนๆเคยทำและสืบทอดกันมาต่อคนรุ่นหลังจากรุ่นต่อรุ่น  มันสะท้อนให้เห็นว่าอันที่จริงชีวิตมนุษย์มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นมากมายอยู่ตลอด โดยมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่โดดเดียวได้ตลอดเวลาเลย เหมือนกับโลกที่มีความผูกพันธ์กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ  แม้แต่พวกจุลชีพซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กก็ตาม

หน้าร้อนซึ่งเป็นช่วงที่ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวเพื่อเก็บไว้ใช้ทั้งปีนั้น  บางคนก็ขายเพื่อแลกเป็นเงินตรา  เพื่อแลกสิ่งอื่นที่จำเป็นในการประทังชีวิต  การเล่นว่าวก็เป็นสิ่งที่สนุกที่สุดก็ว่าได้ตลอดในช่วงเก็บเกี่ยวข้าว  การผลิตว่าวจะทำกันโดยเอาไม้ไผ่มาทำโครง  และซื้อกระดาษสีมาติดเข้ากับโครงที่เราเตรียมมา  รวมทั้งภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างเอาน้ำยางพาราใช้เป็นกาว  เมื่อชั่งทั้งตัวสมดุลแล้ว  มันก็พร้อมที่จะบินโลดลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า  ในบางวันของช่วงเย็นก็จะมีการปล่อยว่าวค้างคืนอยู่อย่างนั้น  โดยผู้เล่นจะใช้ศาลาริมถนนเป็นที่หลับนอนเฝ้าของรักของหวงของตนที่กำลังเสียดสีกับอากาศ ส่งเสียงเกรียวกราวอยู่บนนภา  ฉากหลังของเราจะเป็นทุ่งนาฟ้ากว้าง  ในกลุ่มผู้เล่นว่าวจะมีบางคนทำของกินมาให้  เช่น  ข้าวเหนียวปลาเค็ม  ของหวาน  ข้าวต้มมัดที่เยาะฮ์กับเมาะทำกินกันที่บ้านที่มีทั้งปู่ ย่า หลานๆ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กระทั่งน้ำชาร้อนๆ ซึ่งอันนี้ขาดไม่ได้เลย  แต่สิ่งที่พิเศษกว่าการเล่นว่าวธรรมดาๆ  คือการได้เล่นว่าวใหญ่ของหมู่บ้าน แน่นอนกองเชียร์รอบสนามตั้งแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มากับจักรยานคันเก๋า เรื่อยจนเด็กๆ ที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดตามประสาเด็ก ว่าวใหญ่นี่ ขนาดของมันกว้างพอๆกับเอาคนมายืนหน้ากระดาน  15-20 คน  เวลานำมันขึ้นสู่ท้องฟ้าก็ต้องใช้คนเป็นจำนวนเยอะ เพื่อที่จะให้ตัวมันต้านลมและพยุงตัวลอยได้  ส่วนด้านล่างก็มีการขายของกันมากมายราวกับจัดงานใหญ่ในหมู่บ้าน ทุ่งนาอันแสนสงบของเจ้าทุยพลอยมีชีวิตชีวาไปโดยปริยาย แต่เจ้าทุยก็มิต้องกังวลนักหรอก เพราะสังคมชนบทนั้นผู้คนเป็นมิตรต่อมันและทุ่งนาเขียวขจี และนับมันเป็นสัญลักษณ์ของความเรียบง่าย ซึ่งเป็นนิอฺมัตอันมีค่าจากพระเจ้าที่ทำให้พวกเขาต่างจากคนเมืองที่มีชีวิตอันวุ่นวาย

เหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนบ้านๆที่กำลังหายไปกับการเดินทางของเวลา  และผมเชื่อว่าคงอีกไม่นานหรอก มันก็จะหายไปจากความทรงจำก็คงเป็นได้  จริงอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้เวลาเรามองกว้างๆมันไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก  แต่อย่างน้อยมันเป็นความทรงจำที่ทำให้ผมและอีกหลายๆคนที่ได้สัมผัสยิ้มได้เสมอเมื่อนึกถึงมัน

ทุกครั้งเมื่อได้เดินทางกลับบ้าน  ผมมักชอบมองออกมานอกหน้าต่างรถไฟสายหาดใหญ่ – ยะลา  เนื่องจากผมชอบทุ่งนาเป็นการส่วนตัว  อย่างหนึ่งที่มักผุดขึ้นมาในหัวพร้อมๆกับการชมทุ่งนาก็คือ การตั้งคำถามว่าสาเหตุของการเกิดสิ่งเหล่านั้นคืออะไร  มันอาจมาจากหลายๆสาเหตุ  แต่สาเหตุหลักที่ผมได้ข้อมูลจากคนในหมู่บ้าน  มันมาจากยาเสพติดที่มอมเมาเยาวชน  เมื่อเยาวชนมีกิจกรรมกับสิ่งเสพติดเหล่านี้  อีกกิจกรรมหนึ่งก็ย่อมหายไปตามสภาพของมัน  ส่วนเรื่องสาเหตุของการยุ่งสิ่งเหล่านี้  น่าจะมาจากเวลาว่าง  ชีวิตที่ไม่คิดถึงอนาคต  รวมทั้งขาดการเข้าใจคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง  นักคิดท่านหนึ่งได้กล่าวว่า  “เวลาไม่มีค่า สำหรับคนที่ไม่มีเป้าหมาย”

เมื่อนึกถึง ณ ตอนนี้พร้อมๆกับสายฝนที่กำลังโปรยลงมา  มันทำท่าจะตกหนักเข้าเรื่อยๆ  นึกเสียดายที่การละเล่นเหล่านั้นมันเป็นแค่ความทรงจำที่มักพูดเมื่อนึกถึงวัยเด็ก แต่ในความเป็นจริงมันไม่มีให้เห็นแล้วสำหรับบางที่  แต่ต้องยอมรับสิ่งหนึ่งว่า  ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงและสูญหายตามกาลเวลาของมัน

ฝนทำท่าจะหยุดแล้ว  เดี่ยวคงต้องรีบออกไปทำอะไรก่อนความสว่างของกลางวัน  จะเลือนหายไป. . . . . . .

เมื่อบรมทวดผมเป็นปลา

เขียน : BlackJack
ตีพิมพ์ครั้งแรก : วารสารสมิอฺนา วาอตออฺนา เล่ม4.5

ขณะนี้ เวลาบ่ายโมงสามสิบนาที บรรยากาศรอบๆตัวผม เสมือนมีรังสีบางอย่างแพร่งพรายออกมา ผมคิดว่าที่ตัวผมก็มีอยู่ มันคือความเงียบ ความกดดัน ความกลัว ผมหันไปมองเพื่อนสนิทด้านขวา ไอ้หมัด มันนั่งขดตัวแน่นิ่ง สายตาจดจ่ออยู่กับกระดาษชุดหนึ่งบนโต๊ะ มือข้างขวากาปากกาอย่างนิ่งแน่ ประดังว่าเขาจะบีบมันให้แตกละเอียดคามือซะตอนนั้น

ผมหันไปมองด้านซ้ายต่อ เป็นการสำรวจหาแนวร่วมแก่ตัวเองก็ว่าได้ ซ้ายมือผม เป็นไอ้ป๋อม มันนั่งไขว้ขา ไม่ต่างจากคุณนายที่ถือพัดใบเล็กๆ พัดลมเย็นใส่ตัวเอง ใบหน้านั้น ก็ยังกับตรัสรู้อะไรบางอย่าง ไม่ก็เก๋าเกมอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว กับสถานการณ์ตอนนี้

1. มนุษย์มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน?

ก. ลิงไร้หาง

ข. ปลา

ค. สัตว์เซลล์เดียว

ง. สิ่งภูมิปัญญา (extraterrestrial)

ผมกำลังทำข้อสอบครับ และเพื่อนๆอีกหลายคนก็คงกำลังครุ่นคิดกับคำถามด้านบนนี้เช่นกัน มันเป็นคำถามข้อแรกสำหรับวิชา ชีววิทยา 1 ผมไม่รู้สึกแปลกหรอกว่าทำไมถึงมีคำถามแบบนี้โผล่ออกมา เพราะมันก็มีคำตอบสำหรับตัวมันแล้ว เช่นกันกับมุสลิมทั่วโลก แต่ผมได้แต่คิดในใจเท่านั้น เมื่อบ่ายตาเหมียงมองคำตอบที่เขายัดเยียดมาให้

“อัลลออออออออออออ…”

ผมพึมพาในใจ ก็เหมือนมุสลิมทั่วไปเมื่อประสบกับอะไรบางอย่าง ที่ไม่น่าเชื่อ หรือ เข้าทำนองว่า ไม่น่าเล้ยยยยย… ผมมองคำถามอมตะที่เจอมาตั้งแต่เด็กๆ มันเป็นคำถามสั้นๆ แต่มันเป็นปัญหาสำหรับผม และอาจเป็นข้อแรกที่ผมต้องได้ศูนย์ สำหรับวิชานี้ ผมไล่สายตา ตาม choice ที่ข้อสอบให้มา “นี่ต้องการจะบอกว่า บรรพบุรุษของเราเป็นปลารึไงเนี๊ยะ” ผมคิด พลางเลียริมฝีปากที่กลิ่นคาวปลายังติดอยู่จากสำรับมือเที่ยง “แล้วมาจากปลาอะไรวะ” ผมคิดในใจ “ปลาสลิด ปลาหางนกยูง ปลาทอง ปลาดุก ปลากัด ปลาตีน ปลาเทศบาล”

ผมไม่ได้นึกถึงปลาโบราณ ซีลาคานท์ (coelacanth*) หรอก เพราะไอ้ตัวนี้ ก็เป็นแค่ตัวละคร ชื่อหรูๆ (ล่าสุดก็โผล่ขึ้นที่อินโดนีเซีย บ่งบอกว่ามันไม่ไช่ปลาที่เป็นตัว missing link** อะไร เพราะมันยังอยู่และก็คล้ายกับเพื่อนมันเมื่อล้านๆปีก่อน ไม่ได้มีอวัยวะคล้ายแขนขาอะไร แต่มันเป็นแบบนั้นมานานแล้ว ) เจ้าปลาตัวนี้นั้นน่ะ เขาก็เอาไว้หลอกชาวบ้านทั่วๆไป ให้ได้มาเออออห่อหมกไปด้วยว่า เอ้อ..ชื่อเท่วะ ภาษาอังกฤษด้วย เราน่ะน่าจะมาจากปลาจริงๆซะแล้วสิ

มองไปที่ข้อ ค. ไปกันใหญ่เลย นึกถึงภาพแบคทีเรียตัวเล็ก ที่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องมอง จึงจะเห็นโคโลนีที่เหนียวๆ หนึบๆ ไอ้สัตว์ประหลาดที่มีทั้งกลมๆแท่งๆตามีรึเปล่าไม่รู้ หูก็ไม่มี อันไหนหัวอันไหนท้าย ยังแยกไม่ออก

แว๊บแรกของความคิด ก็นึกถึงนมเปรี้ยวในท้องตลาด ข้างๆขวดเขียนว่า มีแลคโตบาซิลลัส คาเซอิ กว่าหนึ่งล้านตัวเป็นส่วนผสม ทำให้นมมันเปรี้ยวขึ้นมา

เมื่อตอนเด็กๆก่อนไปโรงเรียน แม่ผมมักจะซื้อ ยาคูล์ วางไว้ให้ดื่มบนโต๊ะ เสมอ นี่แม่ผมคงไม่รู้ตัวเลยสินะ ว่ากำลังเหยียบย่ำบรรพบุรุษอยู่ทุกวัน

ยิ่งไม่ต้องเหลือบไปมอง choice ข้อ ก. เพราะผมปฏิเสธตั้งแต่เริ่มอ่านคำถามแล้ว

มุสลิมนั้นจะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ตูฮันสร้างเรามานะ อัลลอฮฺซาตูๆ ซือมือวอ ดาลัม จักราวาลา อีนีน อัลลอฮฺบุวัต (ทุกสิ่งในจักรวาลนี้ อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างทั้งสิ้น) อัลลอฮฺสร้างมนุษย์คนแรก คือ นบีอดัม ตามมาด้วยศรีภรรยาของท่าน ซีตีฮาวา มุสลิมกับคริสเตียนที่เคร่งครัด มักจะไม่ยอมรับอย่างรุนแรงว่า ไม่มีทางที่มนุษย์จะวิวัฒนาการมาจากอย่างอื่น ฯลฯ ส่วนศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า หรือ อ้าอึ่งไม่แน่ใจว่า ตกลงมีพระเจ้าไหมนั้น ก็มักจะยอมรับไปโดยปริยาย

แต่ที่น่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือ คนบางคนที่ยอมรับว่า อดัม กับ อีฟ(ฮาวา) เป็นมนุษย์คู่แรก แต่กลับไปยอมรับเหมือนกันว่ามนุษย์นั้นมีบรรพบุรุษร่วมกับไพรเมท (primate) เช่นพวก ลิงลม ลิงไร้หาง ฯลฯ พูดง่ายๆคือ มนุษย์มีทวดของทวด เป็นลิงไร้หาง หรือแตกกิ่งมาจากกอริลลาเมื่อล้านๆปีก่อน ประมาณนั้น นี่คือคำอธิบายของนักทฤษฏีวิวัฒนาการ เมื่อเราบอกว่า เราไม่ได้มาจากลิง แน่นอนคาว่าไพรเมท มันก็คือ คำหรูๆอีกคำหนึ่ง ที่ทำให้คนทั่วไป ยิ่งไม่ไช่มุสลิมแล้ว ก็สมองเบี้ยวกันไปง่ายๆ ถึงจะไม่ไช่ลิงแบบที่เราเข้าใจและเรียกในปัจจุบัน แต่ก็มีจุดประสงค์เดิม ก็คือเพื่อให้มนุษย์นั้น ไม่มีพระเจ้า และมนุษย์นั้นโตขึ้นมาด้วยสองมือและสองขาของเขาเอง

พวกนักวิทยาศาสตร์คริสต์บางคนที่ยอมรับ แม้จะมีความเชื่อเดิมอยู่ แต่ก็ต้องข่มใจให้ยอมรับในทฤษฏีวิวัฒนาการ อันเนื่องมาจากตัวเองเป็น

นักวิทยาศาสตร์ และทฤษฏีนี้มันดังจริงๆในหมู่พวกเขา อย่างน้อยๆถ้าตัวเองถูกเรียกว่า เป็น Evolutionism ก็คงจะเท่ไม่หยอก

โต๊ะครูท่านหนึ่งบอกว่า ชาลล์ ดาร์วิน ผู้คิดค้นทฤษฏีวิวัฒนาการนั้น มีนัยประเด็นสำคัญอยู่สองอย่างที่เขาต้องการให้เกิด หนึ่งคือ ทำให้โลกใบนี้คือการแข่งขัน ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ใครอ่อนแอก็ต้องถูกกำจัดไป เป็นสิ่งปกติ เหมือนเวลาเราดูสารคดีสิงโตตะครุบเหยื่อ ไม่เคยมีว่าผู้ถ่ายทำจะเข้าไปไล่สิงโต เหมือนเราไล่แมวออกจากสำรับปลาทูทอดของคุณแม่ หรือไปช่วยปกป้องม้าลายแต่อย่างใด เพราะนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติของมัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องปกติในวัฏจักรของสัตว์ป่า แต่มันต้องไม่ไช่แบบนี้ สำหรับมนุษย์ที่มีสติปัญญา

สอง ทฤษฏีนี้ได้ทาให้คุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์ได้หายไปจากสามัญสานึก (common sense) เป็นอันว่า เมื่อมนุษย์เรามีบรรพบุรุษเป็นสัตว์ ดังนั้น หากคุณจะเสียคุณธรรม เปลือยกายในที่สาธารณะบ้าง ก็จะเป็นไรไป เพราะบรรพบุรุษคุณนั้นไม่ได้มีคุณธรรม จริยธรรมตั้งแต่เดิมแล้ว จึงไปเข้าทาง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (sigmund freud) นักจิตวิทยายิว ที่บอกว่า พฤติกรรมมนุษย์มาจากสัญชาตญาณเดิมภายในตัว นั้นคือ บางครั้ง เราก็ต้องหยวนๆเสียบ้าง ก็ของมันมีอยู่แล้วอ่ะ ทำไงได้ การที่คุณมาบอกว่ามนุษย์ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรม จริยธรรมสูงส่งนั้น เป็นแค่การดัดจริตของคุณเท่านั้นเอง

ดังนั้น หากคุณจะเปลือยกายในที่สาธารณะ หรือ จะนอนแก้ผ้าอาบแดดริมหาด ไม่อายปู อายปลา ก็ทำไปเถิด เพราะเป็นเรื่องปกติของลิง

แน่นอน ปัจจุบัน อย่าอายถ้าคุณจะยืดอก พกถุง เพราะการกระทำเช่นนี้ มันเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงหรือจริยธรรมอันสูงส่งของลิงเชียวนะ ทฤษฏีวิวัฒนาการจึงเป็นทฤษฏีที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างตามใจฉัน ได้อย่างเต็มที่อย่างแท้จริง

กลับมาสู่ห้องสอบ… ผมนั่งขดตัวแน่นิ่ง มือซ้ายกุมขมับ มือขวาจับปากกาแน่น ไม่ได้ต่างจากไอ้หมัด และเขาก็คงคิดเหมือนผม

“จะตอบข้อไหนเนี๊ยะ”

ผมไล่สายตาลงมาดูข้อ ง. อึดใจแรกผมกะจะกาข้อนี้ไปแล้ว ถ้าไม่เห็นในวงเล็บเสียก่อน ผมก็เหมือนคนทั่วไป ยะแหยงภาษาปะกิด ไม่อ่านหรอก แต่ผมเกือบเสียอะกีดะฮฺแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว เพราะพอเจอข้อที่ไกล้เคียงกับอัลลอฮฺแล้ว ก็ดันมามีวงเล็บภาษาอังกฤษบอกประมาณว่า มนุษย์ต่างดาว หรือ พลังอะไรบางอย่างที่มาจากต่างดาว ทำนองนั้น

Gum!!

ตอนนี้สถานการณ์ของผมคงไม่ได้ต่างจากไอ้หมัด ผมมีไอ้หมัดเป็นแนวร่วมในวิกฤตการณ์ข้อแรกของวิชานี้แล้ว

ผมคิดว่า คนเคร่งๆอย่างไอ้หมัดก็คงติดงึกกับข้อนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไอ้ป๋อม คงกาเลือก ก. ไปตั้งแต่อาจารย์คุมสอบอนุญาตให้พลิกกระดาษเปิดทำข้อสอบได้แล้วมั้ง

เรื่องอากีดะฮฺหรือหลักการเชื่อมั่นศรัทธาสำหรับมุสลิมนั้น สาคัญมาก เกิดมาตอนเด็กๆ ก็ถูกสอนแล้วว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูตของพระองค์” แน่นอนว่าในวลีนี้ มีความหมาย และ การปฏิบัติบนตัวมุสลิมมากมาย

ผมไม่ทราบได้ว่า เพื่อนมุสลิมอีกหลายคนที่ทำข้อสอบนี้อยู่กำลังคิดอะไรอยู่ กำลังติดงึกอยู่เหมือนผม หรือกาไปตามที่ถูกสอนในคาบเลคเชอร์ไปเสียแล้ว

ในสภาวะที่เราอยู่ในสังคมที่คับแคบทางความคิด เรามักจะนำความคิดตะวันตกหลายต่อหลายเรื่องมาเป็นธรรมนูญชีวิตตัวเอง โดยต่างก็คิดว่า ยังไงซะ ฝรั่งมันเก่งมันเหนือกว่าเราทุกเรื่อง text ทุกเล่ม ฝรั่งก็เขียนซะส่วนใหญ่

มุสลิมส่วนใหญ่ เห็นช้างขี้ ก็ขี้ตามช้างไปด้วย(ช้างยุโรป(ฮา)) ไม่สนใจว่ามันจะกระทบต่อจุดยืนของอิสลามยังไงบ้าง

ผมคิด…

ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว

ผมเขียนเพิ่มเข้าไปใต้ ง. และขีดเส้นใต้เน้นเลยว่า . อัลลอฮฺคือผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่

ผมรู้สึกสบายใจจัง อัลฮัมดุลิลลาห์…

ผมไม่แคร์อาจารย์หรือกฎในการทำข้อสอบหรอก

ผมแคร์อัลลอฮฺผู้เดียวเท่านั้น…

………

* เพิ่มเติมจากเว็บ http://nihil.exteen.com/ เรื่องปลา coelacanth (Latimeria chalumnae) นักนิยมดาร์วินเห็นพ้องต้องกันว่า ปลาตัวนี้ น่าจะเป็นบรรพบุรุษของสัตว์บกทั้งมวล ก่อนจะสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๓๕๐ ล้านปีก่อน แต่ซีลาคานท์เป็นปลานักสู้ มันตะกายไปที่ปากแม่น้ำ มีขางอกออกมาขึ้นสู่บกอย่างสมศักดิ์ศรี และให้กำเนิดสัตว์บกรวมถึงมนุษยชาติ การค้นพบฟอสซิลปลาชนิดนี้ นักวิทยาศาสตร์ “เชื่อ” ว่า ครีบของมันน่าจะแข็งแรงพอให้มันคลานไปมาบนแผ่นดินได้และประกาศว่าพบ “ห่วงโซ่ที่หายไป” ต่อมาในปี ๑๙๓๘ ชาวประมงลากอวนที่นอกแหลมกู๊ดโฮป พบปลาหน้าตาประหลาดและพบว่ามันคือปลาซีลาคานท์ ซึ่งเข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปกว่า ๓๕๐ ล้านปีแล้ว เมื่อศึกษาการดำเนินชีวิตของซีลาคานท์พบว่าปลาชนิดนี้อาศัยอยู่ในน้ำลึก ๒๐๐ เมตร เมื่อขึ้นสู่ผิวน้า มันจะตาย เนื่องจากการลดลงของความดัน ซึ่งพิสูจน์ว่ามันขึ้นบกไม่ได้ และมันไม่ได้เดินเกร่ที่ก้นทะเล มันก็ว่ายน้ำเหมือนปลาอื่นๆ นั่นแหละ นอกจากนี้ครีบของมันเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าครีบปลาทอง จนจะสามารถกลายเป็นแขนขาของสัตว์บกได้ ซีลาคานท์จึงไม่อาจเป็นห่วงโซ่เชื่อมปลากับสัตว์บกอย่างที่เข้าใจกัน

** missing link คือ การเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ ไปเรื่อยๆ จากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง เป็น “link” ที่เชื่อมสัตว์ ๒ ชนิดเข้าด้วยกัน หรือห่วงโซ่ที่หายไปนั่นเอง

*** ปลาซีลาคานท์ ในอินโดนีเซีย

**** รูปประกอบ