“อัสลามุอะลัยกุม”
“วะอะลัยกุมุสลาม” ซาเล็มชะโงกหน้าออกไปดูพร้อมกับตอบสลาม เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร เขาก็ร้องเชิญทันที
“ครู! เชิญครับ เชิญข้างใน” ผู้เป็นแขกหรือครูหวัง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และเป็นที่นับถือคนหนึ่งของคนในตำบลนั้น ก้าวมาตามคำเชิญ
“เชิญทางนี้ครับ” ซาเล็มพูดพร้อมกับจับมือจูงเข้าไปข้างในซึ่งมีผู้แต่งตัวแบบโต๊ะครูนั่งอยู่ก่อนแล้ว 2-3 ท่าน หลังจากได้สัมผัสมือกับบรรดาครูที่นั่งอยู่ก่อนและทักทายกันพอสมควรแล้ว ครูหวังเอ่ยขึ้น
“ทำไมต้องให้ครูมาก่อนเวลาด้วย?” ครูหวังสงสัย
“มีเรื่องที่ต้องขอแนะนำจากบรรดาครูผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่แหละ จึงต้องขอเชิญให้มาก่อนเวลา กะว่าพอปรึกษากันเรียบร้อยก็ถึงเวลาพอดี” ซาเล็มบอก
“เรื่องอะไรละ ? ว่ามาเลย เรา 3-4 คนอยู่กันพร้อมแล้ว” ครูหวังใจร้อนแบบเสียดายเวลา
“คอยอีกสักประเดี๋ยวเถอะครับ ยังขาดครูอีกคนหนึ่ง” ซาเล็มตอบ “ผมกำหนดกับท่านไว้ 8 น. นี่ก็ยังขาดอีก 2-3 นาที อ้าว ! มาแล้ว”
“อัสลามุอะลัยกุม”
“วะอะลัยกุมุสลาม” เจ้าของบ้านตอบ “เชิญข้างในเลยครับ คอยครูอยู่คนเดียว
“เอ๊ะ ! ผมผิดเวลาหรือเปล่า ขอโทษด้วย” ครูดีน หัวหมาก ชะงัก กล่าวขอโทษอย่างสุภาพ
“ครูมาไม่ผิดเวลาครับ” ซาเล็มตอบ “ครูมาตรงเวลาพอดี เชิญข้างในเลย” ซาเล็มจูงมือครูดีนเข้าไปยังที่ที่บรรดาผู้อาวุโสนั่งกันอยู่แล้วก็กล่าวแนะนําแต่ละท่าน
“นี่ครูดีนครับ อยู่หัวหมาก และนี่ครูหวัง ครูฏอฮา ครูฏอยยิบ และนี่ครูเซ็ม”
“ครูคนนี้ไม่ต้องแนะนำหรอก” ครูหวังพูดหมายถึงตัวของเขาเอง “ครูไปที่ไหนมีคนรู้จักทั้งนั้น” ครูหวังใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่าครู
“จริงทีเดียวครับ ผมรู้จักครูดี แต่ครูอาจไม่รู้จักผม” ครูดีนพูดเรียบๆ
“คนละรุ่นกัน”
“ไม่ค่อยได้พบครูเลย” ซาเล็มพุดกับครูดีน “งานแต่งต่างๆก็ไม่ค่อยได้เห็น เมาลิดเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วก็ไม่พบ”
“งานในบ้านยังไม่เรียบร้อย งานนอกบ้านก็ควรจะเป็นทีหลัง” ครูดีนพูดเรียบๆตามเคยของแก
“คนเราต้องสังคมกันบ้าง จะทิ้งสังคมเสียไม่ได้” ครูหวังเอ่ยขึ้น ครูดีนยิ้มอีก ครูหวังจึงพูดต่อไป
“ครูไปเข้าสังคมที่ไหนมีคนรู้จักหมด” ครูหวังใช้คำแทนตัวเองว่าครู “หนังสือบัรซันยีเมาลิด หรือบุรดะฮฺ ครูไม่เคยท่อง แต่ครูจำได้หมด ใครขึ้นมาตรงไหนครูต่อได้หมด” ครูหวังอธิบายสรรพคุณตัวเอง
“วันนี้โกนผมไฟหรือ ?” ครูหวังหันไปถามซาเล็ม
“ครับ ได้ลูกหัวปี” ซาเล็มตอบ
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ครูหวังถาม
“ผู้หญิงครับ” ซาเล็มตอบยิ้มๆ “กว่าจะได้ต้องบนบาน(นะซัร)กันวุ่นวายไปเลย”
“บนบานขึ้นเปลกับเขาหรือเปล่าล่ะ? ” ครูหวังถามอีก “บางแห่งเอาเด็กใส่เปล แล้วร้องเพลงประวัตินบีกล่อม”
“หากผมบนบานอย่างนั้นคงไม่ยุ่งอย่างนี้ แต่ผมเกิดบนบานไม่เหมือนคนอื่นมันเลยต้องเดือดร้อนถึงครูอาจารย์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย” ซาเล็มบอก
“อ้าว ! บนบานอย่างไรกันละ พิสดารหนักหนาเชียวหรือ เลี้ยงข้าวบนยอดไม้ไผ่หรือไง ?” ครูหวังถามอีก พูดปนหัวเราะ ช่างคุย
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คือผมได้บ่นไว้ว่า หากได้ลูกสักคนหนึ่งก็โกนผมตามแบบที่ท่านเราะสูลุลอฮฺเคยทำ แต่ผมไม่ทราบว่า ท่านเราะสูลของเรา ได้เคยโกนผมไฟอย่างไร ฉะนั้นในวันนี้จึงได้เชิญบรรดาครู มาช่วยกันแนะนําผมว่าจะทำอย่างไร โกนอย่างไรจึงจะตรงกับที่ผมบนบานไว้”
“ก็แบบที่เราทําอยู่นี้มันก็เป็นแบบที่ท่านเราะสูลทําไม่ไช่หรือ อ่านบัรซันยี พออ่านถึงตอนนบีประสูติก็ลุกขึ้นยืนอ่าน “อัชรอกอน” เอาน้ําหอมมาพรมกัน แล้วก็เอาเด็กมาตัดผมไฟก็ใช้ได้แล้วนี่” ครูหวังพูดคล่อง ทุกคนนิ่งกันหมด ไม่มีใครออกความเห็น อาจเป็นเพราะครูหวังเป็นผู้อาวุโสกว่าคนอื่นๆ ในหมู่นั้นก็ได้ ซาเล็มมองหน้าครูหวัง แล้วก็มองผ่านบรรดาครูเหล่านั้นอย่างช้าๆ ที่ละท่าน ไปสุดที่ครูดีน ซึ่งนั่งเป็นคนสุดท้าย เหมือนจะถามบรรดาครูเหล่านั้นว่า ที่ครูหวังพูดมานั้นถูกต้องไหม
“ครูฏอฮาว่าไงครับ ?” ซาเล็มถามครูที่นั่งใกล้ครูหวัง
“ผมยังไม่เคยพบแบบอย่างที่ท่านนบีทําเลย” ครูฏอฮาตอบ
“ครูเซ็มเล่าครับ เห็นด้วยกับที่ครูหวังพูดไหมครับ” ซาเล็มถามครูที่นั่งถัดไป
“ผมเชื่อว่าครูหวังพูดไม่ผิด ครูหวังผ่านเรื่องนี้มามาก” ครูเซ็มตอบ
“แล้วครูฏ็อยยิบเล่าครับ” ซาเล็มถามไล่ไปทีละคน
“ถามเดี๋ยวนี้ จะตอบให้เดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้เตรียมตัวดูหนังสือมา ไม่แน่ใจ” ครูฏ็อยยิบเลี่ยง
“ครูดีน เห็นด้วยกับครูหวังไหมครับ” ซาเล็มถามครูดีนอีก
“ถ้าจะเอาให้เหมือนกันเลยผมทำไม่ได้หรอกครับ” ครูดีนพูดเรียบๆ เรื่อยๆ
“นั่นนะซี” ครูหวังพูดขึ้นมาอีก “มันทำเหมือนกันไม่ได้หรอก ท่านนบีทําเมื่อพันสี่ร้อยปีมาแล้ว เรามาทำกันเดี๋ยวนี้จะเหมือนกันได้อย่างไร”
“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเหมือนกันเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ไม่แตกต่างกันก็ใช้ได้” ซาเล็มบอก
“ถ้าอย่างนั้น ก็ทําอย่างที่ครูหวังพูดซิ” ครูเซ็มสนับสนุนครูหวัง
“ครูดีนว่าอย่างไรครับ” ซาเล็มหันมาหาครูดีนอีก
“เรื่องนะซัรเป็นเงื่อนไขหรือสัญญาอย่างหนึ่งที่เราต้องทำให้ตรงตามที่เรานะซัรไว้ ซึ่งผู้นะซัรคือคุณซาเล็มเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดหากว่าทำถูกต้อง มันก็เปลื้องภาระนั้นให้หมดไปไม่ได้ ซึ่งยังติดตัวผู้ที่นะซัรอยู่ ในกรณีคุณซาเล็ม หากว่าคุณต้องการเพียงว่า ทำแบบที่ส่วนใหญ่ไม่ผิดแปลกไปจากท่านนบีแล้วก็พอมีทาง” ครูดีนเอ่ยเรียบๆ ช้าๆ ตามเคยของแก
“ที่ครูว่าพอมีทางนั้นหมายความว่าทำตามที่ครูหวังพูดใช่ไหม ?” ซาเล็มถามครูดีน
“การตัด การโกนนั้นเหมือนกัน” ครูดีนพูดเสียงปกติ “แต่มีนิดหน่อยที่ต่างกันก็คือ ผมเข้าใจว่าในสมัยท่านเราะสูลของเราคงยังไม่มีหนังสือบัรซันยี”
“อ๋อ! จริงทีเดียว” ครูฏ็อยยิบพูดเหมือนนึกขึ้นมาได้ “หนังสือบัรซันยีมีขึ้นหลังจากท่านนบีวะฟาด(เสียชีวิต)ไปหลายร้อยปี”
“ผมก็เพิ่งนึกได้” ครูฏอฮาพูดขึ้นบ้าง “หนังสือบัรซันยีในสมัยท่านนบียังไม่มี”
“เมื่อหนังสือบัรซันยีในสมัยท่านนบีไม่มีก็หมายความว่าท่านนบีของเราทําโดยไม่ได้อ่านหนังสือบัรซันยีอย่างนั้นหรือ ?” ซาเล็มพูดด้วยความแปลกใจ “ครูดีนแน่ใจหรือครับหนังสือบัรซันยีเพิ่งมีขึ้นในสมัยหลัง”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่” ครูฏ็อยยิบชิงตอบอย่างมั่นใจ “ผมนึกออกแล้ว หนังสือเล่มนี้ยะอฺฟัร มะดะนี เป็นผู้เขียน เป็นบุคคลที่อยู่ในฮิจเราะฮฺที่ 1110 หลังจากนบีวะฟาดไปแล้วพันกว่าปี”
“มันจะเป็นไปได้หรือ ?” ครูเซ็มแย้ง “หรือไงครูหวัง ?” ประโยคหลังหันไปถามครูหวังซึ่งครูเซ็มเชื่อมือ
“ครูก็งงเหมือนกัน” ครูหวังพูดเสียงอ่อยๆ
“เรามันอายุมากๆด้วยกันมันก็หลงๆ งงๆ อย่างนั้นล่ะครับ” ครูดีนพูดช่วยแก้ให้ครูหวัง
“จริงซินะ” ครูหวังคล้อยตามทันที “ครูปีนี้ก็เกือบ 60 ปีแล้ว”
“ผมปีนี้ 62 แล้ว ก็งงเหมือนกัน พอครูดีนพูดก็เลยนึกขึ้นมาได้” ครูฏอฮาพูด
“ถูกของครูฏ็อยยิบ บูรดะฮฺเขียนโดยอัลบูซีรี ส่วนบัรซันยีเขียนโดยยะอฺฟัร มะดะนี คนนี้เคยป็นคอฏีบในเมื่องมะดีนะฮฺ”
“เป็นอย่างที่ครูฏอฮาและครูฏ็อยยิบพูดใช่หรือเปล่าครับ” ซาเล็มหันไปคาดคั้นกับครูดีน
“ใช่ครับ” ครูดีนพยักหน้าตอบ “และผมยังนึกได้อีกว่าท่านนบีก็ไม่ได้อ่าน “อีซีกูโบร์” ในพิธีโกนผมไฟ ขอโทษด้วยที่ผมพูดตรงเกินไป”
“ฮ้า” ซาเล็มร้องอย่างแปลกใจยิ่งขึ้นกว่าการอ่านบัรซันยี “จริงหรือครู ?” ซาเล็มกวาดสายตาไปหาครูคนอื่น “ครูหวัง ครูฏอฮา ครูฏ็อยยิบ ว่าไงครับ?”
“ผมว่างานกินบุญทุกอย่างทุกอย่างต้องอ่านอีซีกูโบร์นา” ครูเซ็มพูดเสียงแข็ง
“ถ้าไม่อ่านผลบุญก็จะไม่ถึงคนตาย”
“นั่นนะซี” ซาเล็มเห็นด้วยกับครูเซ็ม
“เรื่องอ่านอีซีกูโบร์เราไม่ควรทิ้ง ควรจะทำเพราะเป็นของเก่า” ครูหวังพูดก้มหน้า
“เรื่องนี้จะทำหรือไม่ทำแล้วแต่ใจของคุณซาเล็ม” ครูดีนพูดเรียบๆ เสียงปกติตามเคยของแก “เรากำลังพูดกันอยู่ในปัญหาที่ว่าท่านนบีทำหรือเปล่า ?”
“จริงซิ” ซาเล็มพุดเหมือนจะนึกถึงเป้าหมายในการทำของเขาขึ้นมาได้ “ผมก็อุตริไปบนบานในสิ่งที่มันสร้างปัญหาขึ้นมา”
“กฎเกณฑ์การบนบาน” ครูหวังเอ่ยขึ้นมาค่อนข้างเสียงดัง “การบนบานในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องทำตามที่เราบนไว้ก็ได้ นี่เราพูดกันตามกฎการบนบาน หรือที่เรียกว่า นะซัร”
“ถูกของครูหวัง” ครูเซ็มสนับสนุนเสียงดังขึ้นมาอีก แกศรัทธาครูหวังมาก “เมื่อเราบนบานในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเราก็ไม่จําเป็นต้องทําตามที่เราบน” ซาเล็มหันมามองหน้าครูดีนก็พบว่าครูดีนมีสีหน้าปกติ ไม่กระตือรือร้นที่จะคัดค้านหักล้างคำของครูหวัง มองครูฏ็อยยิบ ครูฏอฮาก็เห็นครูทั้งสองกําลังมองไปที่ครูเช่นเดียวกัน แต่ครูดีนกลับนิ่งเฉยจนซาเล็มต้องเตือน“อย่างที่ครูหวังกับครูเซ็มว่า จริงไหมครู ?”
“จริงครับ ถูกของครูหวังและครูเซ็ม” ครูดีนพูดช้าๆ ยังไม่ทันจบครูเซ็มก็ชิงพูดขึ้น
“ผมว่าแล้ว” ครูเซ็มได้ท่า “เรื่องอย่างนี้ครูหวังเขาผ่านมามาก มีประสบการณ์มาก”
“เดี๋ยวก่อนครับ” ครูดีนพูดเรื่อยๆ ช้าๆ ต่อไป “การนะซัรในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่เรานะซัรไว้ก็ได้ อันนี้ถูกต้องตามที่ครูหวังและครูเซ็มว่า” ครูดีนก้มหน้าพูด “แต่ใครเล่าจะกล้าพูดได้ว่าสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮฺได้ทําไว้นั้นไม่ถูกต้อง” ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครค้านหรือแย้ง ครูเซ็มมองหน้าครูหวังเหมือนจะพูดว่า “ว่าไง” แม้แต่ครูฏอฮาและครูฏ็อยยิบก็มองหน้าครูหวัง ครูดีนคนเดียวไม่มองหน้าใคร ก้มหน้าเป็นปกติ
“สิ่งที่ท่านนบีได้เคยทำไว้ทุกอย่างถือว่าเป็นสุนนะฮฺ เป็นแนวทางที่เราต้องยึดถือและปฏิบัติตาม” ครูฏ็อยยิบเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ผมจำฮะดิษได้ประโยคหนึ่งที่มีความว่า ผู้ใดไม่ต้องการสุนนะฮฺของฉัน เขาก็ไม่ใช่พวกฉัน” ครูฏอฮากล่าวขึ้นบ้าง
“แล้วผมจะทำอย่างไรดีล่ะครู ของที่เราเคยทำอยู่หากเราหยุดไม่ทำมันก็ยังไงอยู่ และเมื่อทำมันไปก็ไม่ตรงกับที่เราบนบานไว้” ซาเล็มพูดอย่างอึดอัดใจเหมือนจะขอความเห็นใจจากบรรดาครูที่นั่งอยู่ แต่ทุกคนก็นิ่งกันหมด แม้แต่ครูหวังซึ่งเป็นคนที่ช่างพูดที่สุดก็พูดไม่ออก ก้มหน้านิ่ง การนิ่งของครูหวังกับครูดีนนั้นต่างกัน ครูดีนนิ่งเพราะแกประหยัดคำพูดและเกรงว่าจะรุกรานน้ำใจกัน แต่ครูหวังนิ่ง เพราะไม่มีอะไรจะพูด ในที่สุดซาเล็มก็หันมามองครูดีน
“คุณซาเล็ม บอกผมก่อนซีว่าที่คุณไม่อยากทำตามท่านเราะสูลของเรานั้น เพราะอะไร?” ถูกครูดีนถามตรงๆอย่างนี้ ซาเล็มก็พูดไม่ออก เมื่อเห็นซาเล็มนิ่งครูดีนก็พูดต่อไป
“เราได้เรียนพื้นฐานของการศรัทธาว่า เราจะเชื่ออัลลอฮฺ เชื่อท่านเราะสูลและตามท่านเราะสูลและพื้นฐานของการศรัทธานี่แหละที่เราเรียกกันว่าอีมาน ผู้ใดมีอีมานเขาก็เป็นมุอฺมิน และเมื่อใดที่มุอฺมินไม่ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด ไม่ตามท่านนบีมุฮัมมัด เขาจะหมดสภาพจากการเป็นมุอฺมิน หมดสภาพจากการเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม คุณซาเล็มเรียนมาอย่างนี้หรือเปล่าครับ?” ครูดีนพูดเรียบๆ เรื่อยๆเหมื่อนไม่ใช่เรื่องสําคัญ
“ใช่ครับ ผมก็เรียนมาอย่างนั้น” ซาเล็มตอบอย่างฝืดคอ
“แล้วคุณซาเล็มไม่ได้ยึดถือตามนั้นหรอกหรือ?”
“ผมก็ว่าผมนับถือและยึดถืออย่างนั้น แต่นี่มันยังไงกันก็ไม่รู้” ซาเล็มพูดไม่ค่อยเต็มปาก
“เรื่องอย่างนี้อยู่ที่การตัดสินใจของคุณเอง คนอื่นช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เคยเรียน เคยรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก หากว่าคุณคิดว่าคุณอยู่ในศาสนาอิสลาม กฎเกณฑ์ของอิสลามก็อย่างที่คุณได้เรียนรู้มา การเชื่อตามอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์เป็นความจำเป็นที่มุอฺมิน มุสลิมจะต้องทำ แต่การตามความเคยชินหรือตามคนอื่นนั้น ผมยังไม่เคยพบเลยว่ามีความจำเป็น โดยเฉพาะการเชื่อและตามในสิ่งที่ขัดแย้งจนเกิดเป็นปัญหาของคุณซาเล็มอยู่ขณะนี้ ผมว่าง่ายจะตายไป เพียงแต่คุณจะตัดสินใจเลือกเอาว่าคุณจะอยู่ฝ่ายอิสลามหรือไม่เท่านั้นเอง” ซาเล็มนิ่ง ดูท่าทางอึดอัด ครูหวังเองก็อึดอัดเหมือนกัน ครูเซ็มนั้นพยายามมองหน้าครูหวังแล้วก็พยักหน้าเหมือนจะพูดว่า “ทำไมนิ่งเล่า ทำไมไม่พูด ที่เราเคยทำกันมามีหลักฐานอย่างไร พูดออกไปซี” ครูหวังมองเห็นก็รู้ท่า แต่ก็นึกอะไรไม่ออก นิ่งก็อยู่ครู่หนึ่ง ซาเล็มก็กล่าวขึ้นว่า
“เมื่อปรากฏแน่ชัดว่าท่านนบีไม่เคยทําในสิ่งเหล่านี้ วันนี้เราก็ไม่ต้องทำครับ เพื่อให้การทำในครั้งนี้เป็นไปตามการบนบานของผม” ซาเล็มพูดเหมือนได้ตัดสินใจแล้ว ‚ผมขอมอบให้ครูเป็นคนจัดทำ” เขาหันมาทางครูดีน
“ไม่ได้! คุณซาเล็ม จะให้ผมเป็นผู้จัดการคนเดียวไม่ได้” ครูดีนรีบพูดขึ้น
“เราอยู่ร่วมกันที่นี่ 5 คนด้วยกัน ต่างอาวุโสกว่าผมทั้งนั้น ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอก ผมเห็นว่าครูหวังเหมาะสมที่สุด”
“ครูดีนจะให้ครูทำอย่างไร” ครูหวังถาม
“ครูทำได้ทุกอย่างที่ครูเคยทำ” ครูดีนว่า “นอกจากสิ่งที่เรารู้แน่ว่านบีไม่ได้ทำ”
“ที่ครูเคยทำก็เริ่มด้วยการทำอีซีกุโบร์ อ่านบัรซันยี แล้วเอาเด็กมาตัดผมไฟ ตบท้ายด้วยดุอาอ์” ครูหวังพูดไม่ค่อยเต็มเสียง
“สรุปแล้วตามที่ครูเคยทำก็มี 4 อย่างคือ 1. อีซีกุโบร์ 2. นบัรซันยี 3. เอาเด็กมาตัดผม 4. อ่านดุอาอ์ แต่เมื่อเรารู้แน่แล้วว่าสองอย่างแรกท่านนบีไม่เคยทำ เราก็ทำแค่สองอย่างหลังคือ เอาเด็กมาตัดผมไฟแล้วก็อ่านดุอาอ์” ครูดีนชี้แจง
“เอาอย่างนั้นก็เอา” ครูหวังรวบหัวรวบหางสรุป “โต๊ะละแบ(ชาวปอเนาะที่มาทำพิธีในงาน เช่นร่วมกันอ่านบันซันยีให้) มากันหลายคนแล้ว” ยกนาฬิกาขึ้นดู “นี่ก็เลยเวลามาแล้ว เอาธูปหรือที่เผากำยานมาเลย” ประโยคหลังครูหวังพูดกับซาเล็ม
“ขอความรู้อีกสักนิดว่า…” ครูดีนเอ่ยขึ้นมาอีก “ใครทราบบ้างว่าในการโกนผมไฟ ท่านนบีจุดธูปหรือเผากำยาน” บรรดาครูทั้งหลายมองหน้ากันอีก
“การจุดธูปหรือเผากำยานจะทำให้เกิดกลิ่นหอม และท่านนบีก็ชอบกลิ่นหอม” ครูหวังพูดขึ้น
“การทำให้เกิดกลิ่นหอมเป็นของดีและสมควรจะทำใช่ไหมครู?” ครูเซ็มหันมาถามครูดีน แล้วก็หันมาทางซาเล็ม “หรือคุณซาเล็มว่าไง ?”
“ผมมอบให้ครูจัดการไปแล้ว และก็ได้แจ้งวัตถุประสงค์ของผมให้ทราบไปแล้ว เห็นควรทำอย่างไรก็จัดการไปเลยครับ” ซาเล็มพูด
“พิจารณาตามวัตถุประสงค์ของเจ้าภาพรู้สึกว่าจะไม่เกี่ยวกับกลิ่นหอม หรือสิ่งที่ท่านนบีชอบ” ครูฏอฮาซึ่งนิ่งอยู่นานได้เอ่ยขึ้นมาบ้าง “ขณะนี้เรากำลังอยู่บนปัญหาที่ว่า ท่านนบีของเราทําหรือเปล่า ครูเคยพบหลักฐานว่าท่านนบีเคยจุดธูปหรือเผากำยานบ้างไหมครับ” ประโยคหลังครูฏอฮาหันมาถามครูดีน
“ส่วนตัวผมเองยังไม่พบ” ครูดีนตอบก้มหน้าตามเคย “ปัญหานี้เราก็ช่วยพิจารณากัน เรากำลังรับผิดชอบรับมอบให้ทำร่วมกัน ผมไม่เคยพบ แต่ครูอื่นๆ ที่ดูหนังสือมากกว่าอาจจะพบหลักฐานกันบ้างก็ได้”
“เราเคยพบแต่ว่า สิ่งนี้เราได้ทำกันมานานแล้ว มันคงจะมีหลักฐานและที่มา” ครูหวังว่า “หลักฐานอาจจะมี แต่เรายังไม่พบกันก็ได้” ครูเซ็มเอ่ยขึ้น
“ผมว่าถ้าเราจะเดาหรือคิดเอา พิธีการจุดธูปหรือเผากำยานนี้น่าจะมาจากการเลียนแบบพิธีกรรมของลัทธิใดลัทธิหนึ่งมาก็ได้” ครูฏอยยิบพูด “คงไม่ใช่หลักการของเราเพราะว่าต่างก็ไม่เคยพบหลักฐานจากตัวบทกันว่าท่านนบีเคยทำ”
“คุณซาเล็ม เขามอบให้เราทำตามการบนบานของเขา เราก็มีหน้าที่ทำไปเท่าที่เรารู้” ครูฏอฮาพูด “ถ้าจะคิดเอา เดาเอามันก็จะมากเรื่อง มากพิธีกันไม่รู้จบ”
“เมื่อไม่มีหลักฐานปรากฏว่าท่านเราะสูลของเราเคยทำ และตามเป้าหมายของการบนบานก็ไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เข้ามา เอ้า! ไม่ทำก็ไม่ทำกัน” ครูหวังพูดตัดบทขึ้นมาอย่างง่ายๆ “งั้นไปเอาเด็กมาได้แล้ว”
“ขอเวลาอีกสักนิดครับ” ครูดีนพูด “คุณซาเล็มทำอากีเกาะฮฺหรือเปล่าครับ ?”
“ผมเชือดแพะไปสองตัว ตัวหนึ่งเป็นอากีเกาะฮฺ เพราะลูกผมเป็นหญิง ผมจำคำของครูหวังได้ว่าลูกผู้หญิงให้ทำอากีเกาะฮฺหนึ่งตัว เมื่อโกนผมแล้วให้เอาผมมาชั่งคิดน้ำหนักทอง แล้วก็ตีราคาเป็นเงินเศาะดะเกาะฮฺ”
“ดีมาก ถูกต้องทีเดียว” ครูดีนพูดยิ้มๆมองหน้าครูหวัง ครูหวังก็ยิ้มด้วย “แล้วคุณซาเล็มตั้งชื่อบุตรของคุณแล้วหรือยังครับ”
“ผมตั้งชื่อให้เขาว่า สลามะฮฺ ครับ” ซาเล็มตอบ “ก็จำจากครูหวังมาอีกนั่นแหละ”
“เรื่องอย่างนี้ครูหวังแม่นมาก” ครูเซ็มเชียร์ครูหวังไม่ละ แล้วการโกนผมไฟบุตรสาวของซาเล็มในวันนั้นก็ได้ทํากันอย่างง่ายๆไม่มีการอ่านบัรซันยี ไม่มีการอ่านอีซีกูโบร์ ไม่มีการจุดธูปหรือเผากํายาน ไม่มีการยืนมัรฮะบานเศาะลาวาต เพียงแต่เอาเด็กมาตัดผมเป็นพิธีคนละเล็กละน้อยแล้วก็อ่านดุอาอ์ เลี้ยงอาหารเป็นอันเสร็จพิธี ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของบรรดาโต๊ะละแบที่ร่วมอยู่ในพิธี เพราะเป็นแบบที่ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นกันมาจนเจนตา
“ทีหลังหากจะนะซัรอะไรควรคิดหน้าคิดหลังให้ดี ไม่ควรจะให้มันผะอืดผะอมแบบนี้” ครูหวังพูดหัวเราะตอนจับมือลากับเจ้าภาพ
“การแก้บนให้คุณซาเล็มในวันนี้หลายคนอาจมองหรือเข้าใจเราผิดๆก็ได้” ครูเซ็มกล่าวตอนลา
“ขอบคุณมากครับที่งานวันนี้ ผ่านไปอย่างเรียบร้อย” ซาเล็มกล่าวขอบคุณ
“และขออภัยด้วยที่บางอย่างต้องทำผิดแผนผิดแบบของครู”
“ผมต้องลาด้วย” ครูฏอฮากับครูฏ็อยยิบกล่าวพร้อมกัน
“ของคุณมากครับ อ้าวครูก็จะกลับเหมือนกันหรือครับ” ประโยคหลังซาเล็มพูดกับครูดีนเมื่อเห็นครูดีนตรงเข้ามาจับมือ
“เรียบร้อยแล้วขออัลลอฮฺได้ประทานบัรกัตแก่คุณ บุตรของคุณ และครอบครัวของคุณ ขอให้บุตรของคุณได้เติบโตขึ้นมาในความดีงาม” ครูดีนพูดเรียบๆยิ้มๆมองสบตาซาเล็ม “ผมต้องขอโทษด้วยหากว่าในการทำไปวันนี้มีอะไรที่ทำให้คุณซาเล็มไม่พอใจหรืออึดอัดใจ”
“ผมได้รับบทเรียนจากการแก้บนวันนี้‛ซาเล็มพูดมือยังจับมือครูดีนอยู่ไม่ยอมปล่อย” ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าการโกนผมไฟนั้น ท่านนบีของเราได้ทำไว้ไม่ยากเลย ง่ายๆผมได้เคยเรียนมาว่าแนวทางของท่านนบีหรือสุนนะฮฺของท่านนั้น เป็นวิธีที่ถูกต้องและประเสริฐกว่าวิธีอื่นทั้งหมด บทเรียนใหม่ที่ผมได้รับวันนี้ ครูมีส่วนช่วยอยู่ด้วยมากทีเดียว ขอบคุณมากครับ ขออัลลอฮฺได้ทรงตอบแทนความดีให้ครูด้วย วันหลังผมจะไปคุยกับครูบ้าง‛ซาเล็มพูดอย่างจริงใจและยินดีอย่างเห็นได้ชัด โต๊ะครูและโต๊ะละแบกลับกันหมดแล้ว งานโกนผมไฟของบุตรของซาเล็มผ่านไป แล้วท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์พอสมควร หลายคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงของพิธีโกนผมไฟครั้งนี้ แล้วก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่เพิ่งจะรู้ว่าพิธีโกนผมไฟที่นิยมทำกันแบบเอาหนังสือบัรซันยีมาอ่าน แล้วก็ยืนตัดผมเด็กนั้นไม่ได้มีแบบอย่างมาจากท่านนบี และก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่เริ่มเข้าใจว่าเมื่อไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี มันก็ไม่ใช่ศาสนา โดยเฉพาะซาเล็มนั้น เขารับว่าเขาเพิ่งได้ความรู้เกี่ยวกับพิธีโกนผมไฟในครั้งนี้เอง แต่เขาก็ยังไม่เชื่อสนิทใจนัก เพราะว่าบรรดาครูที่ถูกเชิญมาในครั้งนี้ก็เป็นเพียงโต๊ะครูระดับชาวบ้านหรือระดับตำบล ยิ่งครูดีนแล้ว แทบไม่มีอันดับเลย
หากเขาจะปักใจเชื่อเสียเลยทีเดียวมันก็ดูจะง่ายไป งานศาสนาเป็นงานที่จะต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เขาจะเชื่อตามใครง่ายๆไม่ได้ ความดีความถูกต้องมิใช่จะถูกผูกขาดอยู่ที่หมู่ใด คณะใดหรือคนใดโดยเฉพาะ ต่อจากนี้ไป ก่อนที่เขาจะเชื่อใคร ถามใคร เขาจะต้องสอบถามที่มา เหตุผลและหลักฐานจากอัลกุรอาน และฮะดีษหรือสุนนะฮฺของท่านนบีให้แน่ใจเสียก่อน เขาจะไม่ยึดถือตัวบุคคล ไม่ถือพวก ไม่ถือคณะอย่างเด็ดขาด ประสบการณ์ที่ได้รับจากการโกนผมไฟครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตชองซาเล็ม ที่ทำให้เขาได้มองโลกกว้างยิ่งขึ้นแทนที่จะย้ำอยู่บนความเคยชิน ยึดถืบุคคลครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ที่มา แม้แต่บุคคลในระดับที่ถูกจัด ถูกนับถือให้เป็นหัวหน้าก็อยู่ในสภาพที่ทำตามๆกันมาเช่นเดียวกัน เราเรียนเราศึกษากันมาว่าให้เชื่ออัลลอฮฺ ตามอัลลอฮฺ แต่เวลาทำกันจริงๆเรากลับหันหลังให้กับหลักการ เราตามใครต่อใครมั่วจนไม่รู้ว่ากำลังตามใคร รุกุรอิสลาม 5 ประการเรายังทำกันไม่ครบ แต่เรากลับไปสร้างพิธีการต่างๆขึ้นมาให้เป็นแบบอย่าง ให้เป็นภาระแบกกันจนแทบไม่มีเวลานมาซ เราทุ่มเทเงินทองหมดเปลืองไปในพิธีการใหม่ๆที่ได้สร้างกันขึ้นมาจนไม่มีเงินจะสงเคราะห์ให้แก่คนยากคนจน
รุกุนอีมาน 6 ประการเราศรัทธากันไม่อยากจะครบ แต่เรากลับไปไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาศรัทธา แจกจ่ายการอีมานของเราให้แก่วัตถุและบุคคลอื่นๆเรี่ยราดเปะปะ ไม่มีขอบเขตเสียงร้องของสลามะฮฺ บุตรสาว ปลุกซาเล็มให้ตื่นจากภวังค์ เขารีบเข้าไปดูเห็นบุตรสาวของเขานอนหลับตาพริ้มอยู่ในมุ้งครอบ มีภรรยาของเขาอยู่ใกล้ๆ
“นอนอยู่ดีๆก็ร้องขึ้นมา แล้วก็หลับไป” ภรรยาของเขาบอก
“เขาคงเรียกฉันให้มาหาเขาละมั้ง” ซาเล็มพูดยิ้มๆมองดูลูกน้อยในมุ้งครอบด้วยความสุขใจ ลูกคนนี้ทําให้เขาได้รับความเช้าใจในศาสนาหลายอย่าง คำพูดของครูดีนที่ให้พรจะลา แว่วขึ้นมาในหูของซาเล็มด้วยสํานวนภาษาอาหรับว่า “บาเราะกัลลอฮฺ อะลา วะละดะติกะ วะอัมบะตะฮา นะบาตัน ฮะสะนา” มีความหมายเป็นภาษาไทยว่า “ขออัลลอฮฺได้ประทานบัรกัตหรือความจําเริญให้แก่บุตรสาวของท่านและให้เขาได้เติบโตขึ้นมาในความดีงาม”