ผู้จุดไฟ‬

001 0011

เห็นตอนนี้ประเด็นเรื่อง ‘ผู้จุดไฟ’ ในสูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายัต 17 กำลังมาแรงในหมู่คนศาสนาระดับแนวหน้าเลยนะครับ เอาเข้าจริง เรื่องนี้ก็นานและน่าจะจบลงนานแล้วด้วย เพราะเถียงไปก็ไม่มีใครยอมใคร อีกอย่างก็มีคนจุดไฟให้ประเด็นนี้ (คนละไฟกับใน อ.17 นะ) ลุกโชนอยู่ตลอดเวลาด้วย อย่างเร็วๆนี่ก็เป็นเหตุให้เชคอะลีคาน ปาทาน แห่งห้องสมุดอะฮฺลุลหะดีษ วัลอะษาร ตักฟีรใส่ อ.ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ ผู้แปลอัลกุรอานเป็นภาษาไทยคนแรก ตัวละครหลักในประเด็นนี้ว่าเป็นกาเฟรไปเรียบร้อยแล้ว เหตุเพราะกล่าวว่าเป็นพวกลัทธิกอดยานีบ้างละ ไปแปลหนังสือของพวกเขาบ้างละ หรือบิดเบือนอัลกุรอานตามพวกเขาบ้างละ เช่นอายัตที่ 17 ที่ว่า

อยากแสดงความเห็นในเรื่องนี้ให้มากเหมือนกัน แต่เห็นคำเตือนของอาจารย์อีกท่านที่ออกมาโต้เชคริฎอ ซึ่งปกป้อง อ.ดิเรก ว่าถ้าใครจะยกมือปกป้องเชคริฎอแต่ไม่รู้ภาษาอาหรับละก็ให้เงียบๆดีกว่า เป็นเสียอย่างนี้ผมก็เลยต้องนั่งลงพูดเบาๆละครับ แต่ใครเห็นด้วยบ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันมีเรื่องการ ‘ตีความ’ กับ ‘การตัดสิน’ อยู่มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 1.) ตัวอายัตเองที่เปิดให้ตีความ 2.) การตีความ อ.17 ของ อ.ดิเรกใน ‘บะยานุลกุรอาน’ (2496) ซึ่งอันนี้แกอธิบายเอง ต่างจากใน 3.) ‘กุรอานมะญีด’ (พิมพ์หลังบะยานุลฯ ไม่แน่ใจพิมพ์ครั้งแรกเมื่อไร) ซึ่งเล่มนี้ต้องยอมรับว่าแกเสียรู้เพราะไปแปลมาจากกอดยานีจริง รวมถึง 4.) การพยายามชี้แจงแก้ต่างอายัตนี้ให้ อ.ดิเรก ของเชคริฎอเมื่อหลายปีก่อน บนเวทีดิเบตกับ อ.อิสหาก พงษ์มณี ซึ่งกำลังมีกระแสคิดว่าแกไปบิดเบือนคำพูดของอิมามอิบนิกะษีร กลายเป็นประเด็นในทีวีตอนนี้กระทั่งมีการบอกว่า อ.ดิเรกเป็นกาฟิร หรืออาจารย์ท่านอื่นอีกว่าเชคริฎอเป็นชัยฏอน เป็นอะไรสักอย่างที่เลวกว่าดัจญาลอะไรนี่ เป็นผลมาจากการตีความไปมา คิดแทนผู้พูด และตัดสินคนอื่นขณะกำลังโกรธหรือเปล่า กระทั่งไปกล่าวในรายการว่าผู้แปลตัฟซีร ‘ตัฟฮีมุลกุรอาน’ ของ เมาลานา อบุลอะอฺลา อัลเมาดูดี จากอุรดูเป็นภาษาอังกฤษนั้นคือกอดยานีที่ชื่อ อะลี อักบัร ซึ่งที่จริงไม่น่าจะใช่นะครับ อาจารย์น่าจะสลับกับหนังสือศาสดาพยากรณ์ที่เขาเขียนหรือเปล่า เพราะเท่าที่ผมรู้ผู้แปลคือ ดร.เซาะฟัร อิสหาก อันศอรี (Zafar Ishaq Ansari) อุละมาอฺชาวปากีสถานแห่งมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติอิสลามาบัด (IIUI) มากกว่า หรือผมเข้าใจผิดยังไงมาอัฟด้วยครับ

ผมนี่ไม่ใช่ศิษย์เชคริฎอ ถึงขนาดจะไปพูดเอาได้ว่ากำลังปกป้องท่าน ไม่ได้สนิทขนาดนั้น อีกอย่างก็เคยได้ยินเชคพูดว่าไม่ต้องมาปกป้องแก ให้ทำงานๆไป แกปกป้องตัวเองได้ (ประมาณนี้) แต่ผมเห็นด้วยกับแกว่าน่าจะต้องดูให้รอบคอบทั่วโลกไปเลยว่ามันไม่มีจริงๆใช่ไหมที่นักอรรถาธิบายกล่าวว่า ณ ที่ อ.17 นั้น ไม่เสมอไปที่ต้องหมายถึงมุนาฟิก อาจหมายถึงนบีมุฮัมมัดก็ได้ ซึ่งอันนี้ในบยานุลฯ อ.ดิเรกก็ได้แปลและอธิบายไว้ชัดเจน จากนั้นในกุรอานมะญีดที่มาทีหลังแกเลยใส่คำว่า ‘เช่น’ เอาไว้ เพราะมันมีอีกคำแปลอืนที่เป็นไปได้อีก โดยในบะยานุลฯ ท่านก็ได้อธิบายยืดยาวด้วยภาษาที่งดงามตามประสานักเขียนใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งความข้อนี้ผมเห็นว่าควรจะให้ความยุติธรรมสำหรับแกบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ไปตักฟีรว่าเป็นกาฟิรหรือกอดยานี (อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ ยังยกย่องแกมากเลย ลองไปอ่านในงานเขียนของ อ.ดิเรก เรื่อง ‘ความสัมพันธ์ของมุสลิมทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีไทย’ กับ ‘สำเภากษัตริย์สุลัยมาน’)

คือผมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าแกเป็นกอดยานี แม้จะแปลหนังสือมาจากกอดยานี หรือมีการรับรองจากหนังสือของลัทธินี้ว่าเป็นตัวแทนในไทยก็ตาม (ซึ่งการคิดเองเออเองรวมถึงเอารูปถ่ายกับตัวเองมาใช้แอบอ้างนี่ กอดยานีถนัดมาก) ข้อพิสูจน์ก็คืออยู่ในคลิปบรรยายครั้งสำคัญเมื่อปี 2552 โดย เชคริฎอ กับ อ.มุรีด (https://youtu.be/cnV7nWLUazE) ซึ่งผมคิดว่าเป็นบรรยายที่เต็มไปด้วยหลักฐานสำคัญและการเปิดโปงขบวนการที่เริ่มต้นกล่าวหา อ.ดิเรก เป็นกอดยานีที่ดีที่สุด และพูดได้เลยว่าใครไม่เคยดูคลิปนี้เสียให้จบ ไม่ควรมาโต้เถียงเรื่องกอดยานีในเมืองไทยเป็นอันขาด ***เป็นไปได้อย่างไรที่คนแปลหนังสือกอดยานีคนแรกในไทยไม่ใช่ อ.ดิเรก แต่เป็น อ.อับดุลการีม มัสโอดี บรมครูของโต๊ะครูกลุ่มหลักที่โจมตี อ.ดิเรก ว่าเป็นกอดยานีในปัจจุบันซะเอง โดยที่ท่านยังเชื่อด้วยว่า มิรซา ฆูลาม อะฮฺมัด ผู้นำสูงสุดของกอดยานีนั้นเป็นมุญัดดิด (นักฟื้นฟู) แห่งฮิจญฺเราะฮฺที่ 14 ซึ่งเป็นความเชื่อของกอดยานีสาขาลาโฮร์ ของเมาลานา มุฮัมมัด อะลี ผู้เขียนคำแปลอัลกุรอานที่ อ.ดิเรก เสียรู้เอามาแปลอีกทีนั้นเอง ทว่าอีกด้าน อ.ดิเรก กลับปฏิเสธอย่างชัดเจนในวารสารของยมท.ปี 2516 กับวารสารอัลฮุดาของตัวเองเมื่อปี 2533 ว่าไม่เคยเชื่อว่ามิรซาฆูลาม อะฮฺมัด เป็นนบีคนที่ 16 (ความเชื่อสาขากอดยาน) หรือเป็นมุญัดดิดแห่ง ฮ.ศ.14 (ความเชื่อสาขาลาโฮรี) ข้างต้นไม่มีคำตอบหรือคำชี้แจงใดๆเลยจากโต๊ะครูกลุ่มที่ว่า มีเพียงความเงียบงัน เอาคดีใหม่มาทบคดีเก่าอยู่เรื่อย แต่กลับกันเชคริฎอ กับ อ.มุรีด ได้ให้คำตอบไปแล้วในการบรรยายตอนนั้นว่าไม่ว่าจะเป็นการแปลของบรมครูท่านที่ว่า (ซึ่งเป็นญาติเชคริฎอด้วย) หรือ อ.ดิเรก ก็ตาม ล้วนกระทำไปด้วยความไม่รู้แทบทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องของความพยายามขวนขวายหาหนังสือนอกมาแปลของโต๊ะครูสองคนในอดีตเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ศาสนาในวงกว้าง (ซึ่งตอนนั้นโลกยังไม่รู้อันตรายของกอดยานี) สมัยนั้นแม้แต่ นิตยสาร The Islamic Review ของกอดยานี คนมุสลิมก็อ่านกันทั่วโลกละครับ มาถึงยุคสมัยที่เริ่มมีอินเทอเน็ตกระมัง ที่อุละมาอฺปากีสถานฟัตวาว่ากลุ่มๆนี้มิใช่มุสลิม โดยมีโต้โผหลักอย่างชัยคฺ อิหฺสาน อิลาฮี เซาะฮีร กับ เมาลานา อบุลอะอฺลา อัลเมาดูดี เป็นผู้เปิดโปงความปลิ้นปล้อนของลัทธินี้อย่างหนัก จนโลกมุสลิมได้กระจ่างชัดตามมาด้วยความผิดหลายประการ เช่น มิรซา ฆูลาม อะฮฺมัด มาเปิดเผยตนตอนหลังว่าเป็นนบีคนที่ 26 เคยคุยกับอัลลอฮฺเป็นภาษาอังกฤษ และอื่นๆที่หาอ่านได้ในหนังสือ ‘ทำไมโลกมุสลิมจึงร่วมประณามลัทธิกอดยานี’ ที่ อ.มุรีด ได้เขียนไว้ ทั้งหมดนี้เราไม่มองกัน คือไม่อยากมองพี่น้องตัวเองในแง่ดีกันเลย เรามุ่งแต่จะโยน อ.ดิเรก ลงนรกท่าเดียว ไม่เว้นแม้แต่คนที่ออกมาปกป้อง อ.ดิเรก ก็โดนข้อหาไปด้วย นี่เอง ก่อนจะเกลียด อ.ดิเรก ก็ลองไปฟังการชี้แจงของฝ่ายที่ปกป้องท่านดูบ้างเสียก่อนจะเป็นไรไป

อ.17 ก็เช่นกัน ในตัฟซีร ‘อัลฟุรกอน’ (ฉบับที่ผมมีคือพิมพ์ปี ค.ศ.1988) ของ ไคย์ อะเยาะฮฺ หะสัน หรือ A.Hassan หรือ Hassan Bandung อุละมาอฺคนสำคัญของอินโดเนเซียในอดีต ก็ตีความอายัตนี้ไปในทำนองผู้ที่จุดไฟหรือนำความสว่างมา ว่าเป็นนบีมุฮัมมัดเช่นกัน อีกทั้งเมื่อเทียบกับคำอธิบายของ อ.ดิเรก ในบะยานุลฯ ก็แอบเหมือนอยู่ในที ดังนี้

“สภาพของเหล่ากาฟิรกับมุนาฟิกต่ออัลกุรอานที่นำมาโดยท่านบีนั้น หากจะอุปมาอุปไมยกันแล้ว, อัลกุรอานก็ประหนึ่งดวงไฟหรือคบไฟซึ่งนำมาโดยท่านนบี เพื่อจะมอบแสงสว่างแก่ชนเหล่านั้น ทว่าขณะที่ดวงไฟมันส่องแสงแก่พวกเขานั่นเอง พวกเขาก็หลับตาไม่ยอมมองแสงสว่างนั้น เช่นนี้เองอัลลอฮฺจึงดับแสงสว่างนั้นเสีย และทิ้งพวกเขาไว้ในความมืดมิด ไม่เห็นอะไรอีกเลย.” (กรอบแดงในภาพประกอบ, หน้า 5 ฟุตโน้ตที่ 18)

แบบนี้จะว่าอย่างไร ไคย์ อะเยาะฮฺ หะสัน จะเป็นกอดยานี หรือ อิควาน?

ครับ เราอาจจะบอกว่าแกเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่กิบารอุละมาอฺ หรือจะใช้บรรทัดฐานเป็น-ไม่เป็นสะละฟีเพื่อตัดสินทุกอย่างในจักรวาล จนได้ว่าแกไม่ถึงระดับสะละฟี งานที่เขียนก็มีค่าไม่พอจะให้อ้างก็ตาม แต่ประเด็นคืออุละมาอฺสุนนะฮฺในอดีตที่มีอิทธิพลสูงในเอเชียอาคเนย์คนนี้ คนอินโดเนเซีย มาเลเซีย หรือสิงคโปร์คนไหนบ้าง เอาการตีความอายัตนี้ของท่านมาบอกว่าเป็นกอดยานีหรือบิดเบือนอัลกุรอาน…ไม่มีหรอกครับ ทุกวันนี้องค์กรดะอฺวะฮฺที่ท่านก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1920, Persatuan Islam (PERSIS) ได้รับการยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นองค์กรศาสนาที่ดะอฺวะฮฺในแนวทางอัลกุรอานและอัลหะดีษ ควบคู่ Muhammadiyah ของ ไคย์ อะฮฺมัด ดะฮฺลัน เลยทีเดียว ความข้อนี้ หรืออย่างน้อยกับอายัตนี้ เราจะยังจะไม่ให้ความยุติธรรมแก่ อ.ดิเรก อีกละหรือ

สุดท้าย อ่านถึงนี้แล้วยังคิดว่า อ.ดิเรก กับ เชคริฏอ บิดเบือนอัลกุรอานกันอีกไหม (สถานะเนกาทีฟสุดๆต่างๆที่ อ.ดิเรก กับ เชคริฎอ โดนจะได้ตกไปซะที) มันเป็นเพียงเรื่องปกติของอายัตที่ต้องตีความเท่านั้นเอง ก็คงจะเหลือข้อหาของเชคริฏอที่ว่าบิดเบือนข้อเขียนของอิมามอิบนิกะษีร ซึ่งเรื่องนี้ บางคนอาจจะบอกว่ายังไงๆเราก็คิดแบบนี้..ยังไงเชคก็บิดเบือน รึจะบอกว่าลอกความคิดอาจารย์ตัวเองมาก็ได้ครับตรงดี คือคิดเหมือนกันทั้งกลุ่ม แต่ดีที่ผมไม่มีอาจารย์ให้กลัวเกรงหรือยึดเกาะขนาดนั้น ผมควรจะพยายามคิดเองซะบ้าง จึงเห็นด้วยที่เชคพูดไม่ชัดเจนขณะชี้แจงอายัตนี้ (เฉพาะช่วงที่อ้างเนื้อหาในหนังสือของอิมามอิบนิกะษีร) ซึ่งเวลานั้นก็คงไม่มีใครคิดว่าไม่ชัดเจนหรอก ยุคเรานี่แหละ เอามาชำแหละคิดนั่นคิดนี้ต่อ คือผมพยายามมองในแง่ดีไว้ครับ ด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า จะบิดเบือนทั้งทีทำไมเชคถึงได้ฉายหน้าหนังสือแช่ไว้บนจอโปรเจคเตอร์ตั้งนานสองนานให้ผู้ฟังบรรยายดู? แล้วคำว่า ‘ลิลมุนาฟิก’ จะบอกว่าเชคตั้งใจตัดออกหรืออ่านข้าม ก็น่าขำไปนะครับ ในห้องบรรยายวันนั้น ไม่มีใครอ่านคำว่ามุนาฟิกออกเลยหรอ? อีกทั้งตามปกติเวลาอาจารย์อ่านอะไรบนกระดาน สายตาผู้เรียนมันก็ไล่ไปตามข้อความที่อาจารย์อ่านนั่นละครับ หรือจะบอกว่าในห้องนั้นไม่มีคนรู้ภาษาอาหรับแม้สักคนเดียว? ที่สำคัญมากๆ คำว่าลิลมุนาฟิกในประโยคนั้น มันไม่ได้หมายถึง ‘ผู้จุดไฟคือมุนาฟิก’ เลยแม้แต่น้อย แต่อิมามอิบนิกะษีรหมายความว่าในตอนต้นสูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺนั้น อัลลอฮฺได้ยกอุทาหรณ์เพื่อ ‘กล่าวถึงมุนาฟิก’ ไว้สองอุทาหรณ์ (ซึ่งก็ถูกแล้ว)… นั่นเองครับ จึงน่าสังเกตว่าผู้ที่พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนเข้าใจว่าลิลมุนาฟิกในที่นี่หมายถึงผู้จุดไฟคือมุนาฟิกนั้น มีเจตนาอะไรหรือไม่? ส่วนที่ว่าเชคอ้างอิมามอิบนิกะษีรพูดทั้งที่ไม่ได้พูด จุดนี้ผมฟังยังไง ก็ยังเข้าใจว่าเชคบอกว่าอิมามยกหะดีษมาอยู่ดี ส่วนที่ว่าผมเอียงเข้าข้างเชคหรือเปล่านั้น ถ้าจะเอียงก็เห็นจะเอียงสัก 30 องศาเท่านั้นแหละ

เป็นเรื่องน่าเบื่อนะครับที่ต้องมาพูดเรื่องพวกนี้อีก ผมเข้าใจเชคเลย เป็นผม ถ้ามีคนมาถามในทีวีผมก็ไม่อยากตอบเหมือนกัน มันเหมือนเรายอมให้คนยืมเงินครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่เขาค้างจ่ายมาหลายรอบ ทว่าพอถึงขีดสุดเราไม่ให้อีกแล้วเลยถูกถามว่าทำไมไม่ให้ยืมแล้วนั่นละครับ พฤติกรรมที่ผ่านมาของคนพวกนี้ มันเพียงพอแล้วที่ผมจะไม่พูด ไม่ตอบคำถามที่มาจากพวกเขาอีก

การบิดเบือนอัลกุรอานนี่ร้ายแรงก็จริง แต่การกล่าวหาอย่างมั่นใจว่าใครต่อใครบิดเบือนอัลกุรอานนี่ก็ร้ายแรงพอกันไหมครับ ขอให้ผมและทุกท่านห่างไกลจากสิ่งนี้

ด้วยความเคารพในตัว อ.ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์
หมีมลายู
13/11/58

002

003
(อ.ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ ในรายการกระจกหกด้าน ตอน อัลกุรอาน (ไม่ทราบปีออกอากาศ)

004
(ไคย์ อะเยาะฮฺ หะสัน หรือ KH. Hassan Bandung
)

005
ดร.เซาะฟัร อิสหาก อันศอรี (คนที่สองจากขวา) ผู้แปลตัฟฮีมุลกุรอานของ เมาลานา อบุลอะอฺลา อัลเมาดูดี เป็นภาษาอังกฤษ

ใส่ความเห็น