มอกต้า ลูบิส เขียน /กันยารัตน์ ปฐมกุลมัย แปล
ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม ทั่วทั้งหมู่บ้านเซ็งแซ่กันด้วยเสียงเล่าลือ ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ครูประจำหมู่บ้าน ท่านลูเราะห์(ผู้ใหญ่บ้าน) รวมไปถึงบริวารสานุศิษย์ทั้งชายและหญิง ไม่เว้นกระทั่งลูกเล็กเด็กแดง ต่างโจษจันกันแต่เรื่องนี้ไม่หยุดไม่หย่อน
“อื้อฉาวเหลือเกิน” ฮัจญีอังโกสเอ่ยขึ้น
“น่าขายหน้าเหลือทนแล้ว” ลูเราะห์เสริม
“มันลบหลู่กันชัดๆ” ฮัจญีอับดุลเลาะห์แกว่งไม้เท้าซึ่งทำจากไม้มะเกลืออยู่ร่าๆ เครายาวเฟื้อยสีดอกเลาพลอยสั่นด้วยความโกรธจัด น้ำใสๆคลอหน่วยตาฝ้าฟางทั้งสอง
“มันเท่ากับหมิ่นศาสนาของเราด้วย” ฮัจญีอับดุลเลาะห์กระแทกเสียงหนัก “ไอ้พวกนอกศาสนามาบังอาจแอบอ้างเรียกตัวเองว่ามุสลิมรุ่นใหม่ ที่แท้ก็พวกสันดานป่าเถื่อนไม่ผิดเดรัจฉาน” เฒ่าฮัจญีอับดุลเลาะห์สบถต่อ เงื้อไม่เท้าในมือฟาดไปที่โต๊ะดังโครม ลูเราะห์สะดุ้งโหยงอย่างลืมตัว
“ผมเห็นต้องหมดอาชีพกันคราวนี้” นายปักเคนตงครวญน้ำเสียงละห้อยด้วยความสิ้นหวัง
“หมู่บ้านของเราคงหมดชื่อเสียงไปด้วย” ลูเราะห์กล่าวเสียงเศร้า
“คนจากหมู่บ้านอื่นคงเลิกมาที่นี่ พวกเรามีหวังเสียรายได้หมดทางทำมาหากิน” ปักเคนจิล พ่อค้าคนหนึ่งในหมู่บ้านรำพันอีกราย
“ฉิบหายวายวอด” ลูเราะห์พร่ำบ่นเล่า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“พวกท่านเห็นไหมว่ามันบังอาจเอาต้นไม้ของพวกคริสเตียนมาปลูกรอบมัสยิดของมัน” ปักเคนจิลถามเสียงสั่นเครือ
“ไอ้พวกนอกศาสนาจัญไร” ฮัจญีอังโกสหลุดคำผรุสวาทด้วยความคั่งแค้น
“แกรู้หรือยังว่า พวกนั้นจะย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์จากยอดเขาแล้ว” เด็กชายอะมัต บุตรของรูเลาะห์ เอ่ยกับอันจาเพื่อนคู่หู
“พ่อฉันบอกว่า พวกนั้นมาแจ้งเรียบร้อยแล้ว ว่าจะลงมือเปิดหลุมศักด์สิทธิ์แล้วขุดเอากองกระดูกของท่านคไย(โต๊ะครู) ฮัจญี เมาลานา อาราเบีย ออกมา”
“เรื่องอะไร ทำไมต้องทำอย่างนั้น” อันจาร้องถาม
“พ่อฉันบอกว่า พวกนั้นจะสร้างมัสยิดบนยอดเขานั้น” เด็กชายอะมัตเริ่มรู้สึกสำคัญตัวเอง เด็กอื่นๆเข้ามาร่วมวงด้วย แม้แต่พวกที่โตเป็นหนุ่มจำนวนไม่น้อยก็อุตส่าห์เข้ามาฟัง เด็กน้อยยิ่งทะนงตนเป็นกำลัง
“พ่อฉันเล่าว่า พวกนั้นได้กว้านซื้อที่ดินบนเขาทั้งสามลูกกับที่ดินผืนใหญ่เลียบแม่น้ำ พ่อบอกว่า พวกนั้นกำลังจะสร้างมัดรอซะฮ์สมัยใหม่(โรงเรียนสอนศาสนา) ชนิดไม่ได้สอนกันแค่คัมภีร์กุรอ่าน แต่ยังสอนวิชาทันสมัยอะไรต่อมิอะไรอีก”
“ที่แกว่าวิชาทันสมัย มันอะไรกันวะ” เสียงหนึ่งถามทะลุกลางปล้อง
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน” เด็กน้อยอะมัตสารภาพตามตรง ในใจนึกฉุนที่โดนคำถามยากๆแบบนี้
“แต่ฉันรู้แน่อย่างหนึ่ง” เจ้าหนูวางมาดกล่าวต่อ “ว่าพวกนั้นต้องการย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์ออกจากยอดเขาให้ได้ พวกนั้นจะสร้างมัสยิดขึ้นแทนที่”
“เสี่ยงตายเชียวนะ” เด็กอีกคนว่า “พวกมันมีหวังไม่รอด ขืนดันทุรังทำอีก”
“นั่นมันของแน่ พวกมันรู้รึเปล่า นั่นเป็นหลุมฝังศพศักดิ์สิทธิ์” อีกเสียงซักต่อ
“พวกนั้นคงไม่รู้เรื่องราวของคนขาวที่ทำยโสไม่ยอมก้มหัวเคารพหลุมศักดิ์สิทธิ์ ถึงขนาดคนขาวยกตีนขวาเหยียบบนแท่นหินที่ปักหน้าหลุม ไม่กี่วันหลังจากนั้น คนขาวมีอันเป็นไปทันตาเห็น” เจ้าหนูอะมัตกล่าว
“แล้วเรื่องแก่แฮมซัลที่ทำผิดสาบานต่อหน้าหลุมศักดิ์สิทธิ์ลงท้ายต้องตายตามนั้นอีก” อันจาเสริม
“ยังอีกปาฏิหาริย์ร้อยแปดของหลุมศักดิ์สิทธิ์ล่ะ”สหายร่วมวงอีกคนว่า
“เออ ถูกของเอ็ง แม่ข้าไปบนบานหน้าหลุมเหมือนกัน หลังจากนั้นอาทิตย์เดียวปู่ข้าก็ตาย แม่ข้าเลยได้ครองที่นามหาศาลสบายสมใจ”
“พวกแกจำนางซีตี เอจาห์ได้ไหม” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ย “แม่นั่นอยู่กับพ่อเฒ่าฮัจญีอังโกสมาเกือบห้าปีดีดัก ยังไม่มีลูกกับเขา ฝ่ายผัวจะหาเรื่องหย่าขาดแล้ว ดีที่แม่นั่นไหวตัวทัน ไปบนขอลูกกับหลุมศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถึงปีเท่านั้น ก็ออกลูกเป็นผู้ชาย ดูท่าทางแข็งแรงเสียด้วย”
“แล้วใครจะไปรู้” เจ้าหนูอะมัตกล่าวด้วยมาดสำคัญตนเช่นเดิม “ว่าการย้ายหลุมแบบนั้น มันจะไม่ชิบหายมาถึงพวกเรา ถึงหมู่บ้านของเราด้วย” ถ้อยคำของต้นทำเอาทุกคนขนลุกขนพอง แม้แต่เด็กเล็กที่ไม่ประสีประสายังก่นสาปแช่งพวกนอกศาสนาไม่ขาดปาก พวกมันจะเคลื่อนย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้เป็นอันขาด เรายอมไม่ได้
สำหรับพวกผู้หญิงในหมู่บ้าน พวกหล่อนต่างร้อนรนกับข่าวลือ แทบไม่เป็นอันกินอันนอน ถ้าหากหลุมศักดิ์สิทธิ์ถูกรื้อจริง ความศักดิ์สิทธิ์จะไม่เสื่อมไปด้วยหรือ แล้วพวกหล่อนจะมีสิ่งใดเป็นที่พึ่งในยามยากเล่า อาทิเช่น ในเวลาจะมัดใจสามีให้อยู่มือ จะจับหนุ่มเหน้าสักคนให้อยู่หมัด จะปรารถนาคู่ครองร่วมทุกข์สุขสักคน จะขอลูกสืบวงศ์ตระกูล จะขอฝนฟ้าให้ตกต้องตามฤดูกาล จะขอให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ หรือจะขอให้ปลอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งกายใจ
เท่าที่พวกหล่อนจำความได้ หลุมศพศักดิ์สิทธิ์ได้มีอยู่ ณ ที่นั้นมาแต่ไรแล้ว มีผ้ายันต์เหลืองอร่ามคลุม มีตระกูลเคนตงคอยอุปถัมภ์มาตลอดหลายชั่วอายุคน สำหรับพวกเขาและชาวบ้านทั้งหมด หลุมศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ สัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์เลื่อนลอย แต่เป็นที่พึ่งพิงจริงๆ ที่พึ่งพิงในยามทุกข์เทวษและยามที่ไม่มีสิ่งใดแน่นอนมั่นคง มันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเสียแล้ว มันมีความหมายต่อชีวิตของพวกเขาเหลือเกิน บันดาลพร้อมทั้งความอุ่นใจ พละกำลัง ความหวังเรืองรอง และความใฝ่ฝันนานัปการ
มาขณะนี้ คนแปลกถิ่นได้อุกอาจมาเปิดหลุมศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ยอมไม่ได้ เป็นตายร้ายดีจะปล่อยให้เหตุการณ์นั้นอุบัติขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด
2
ที่บ้านของลูเราะห์ ที่ประชุมผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านได้เห็นพ้องต้องกันว่า ทั้งหมดจะต้องร่วมกันต่อต้านแผนการอุบาทว์ของพวกมันให้ถึงที่สุด ตกลงกันว่าจะส่งลูเราะห์และฮัจญีอังโกส ผู้อาวุโสที่สุดทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิเป็นตัวแทนไปเจรจากับคนแปลกหน้า
ถึงวันที่กำหนด ลูเราะห์และเฒ่าฮัจญีอังโกสจึงพากันไต่เขานอกตัวหมู่บ้านขึ้นไปพบนายซานุซี หนุ่มฉกรรจ์วัย ๓๖ ปี สองผู้เฒ่าเดินทางไปถึงยอดเขาที่ประดิษฐานหลุมศักดิ์สิทธิ์ เห็นซานุซีกำลังคุมงานปลูกต้นไม้ของพวก คริสเตียนง่วนอยู่จึงแผดเสียงโหวกเหวกแทนคำทักทายออกไป แต่โดยเหตุที่เจ้าของเสียงหายใจหอบด้วยความเหนื่อยจากการปีนเขา ประกอบกับเสียงกระหึ่มของรถแทรกเตอร์ที่กำลังโกยดินลงหุบเขาด้านล่าง ซานุซีจึงไม่ทันได้ยิน
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นดูด้วยอาการสะดุ้งเล็กน้อย ทันทีที่ได้ยินเสียงกล่าวสวัสดีของลูเราะห์กับฮัจญีอังโกสว่า “อัสลามุอลัยกุม” (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)
สองเฒ่าอวุโสยิ้มกริ่มชอบใจ ที่เห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่ม ด้วยต่างอ่านใจแทงตลอดถึงความรู้สึกผิดของซานุซี “เรามาที่นี่ เพื่อเจรจาเรื่องหลุมศักดิ์สิทธิ์กับคุณ เราเป็นตัวแทนของคนทั้งหมู่บ้าน และเรามาอย่างมิตร” ลูเราะห์กล่าวอย่างมีพิธีรีตองพลางปั้นท่าหยิ่งผยอง
ซานุซีตัวตรง รีบปัดถูมือกับกางเกงใส่ทำงานสีน้ำเงินแล้วยื่นมือสัมผัสตอบ “อลัยกุมุสลาม” เขาดัดเสียงขึงขังเลียนแบบอีกฝ่าย “ผมยินดีที่ท่านอุตส่าห์เดินทางมาขอเจรจาอย่างมิตร ผมเองปรารถนาใคร่จะได้พบปะชี้แจงเจตจำนงและโครงการของทางพวกผมให้ชาวบ้านได้รับทราบโดยถ้วนหน้า โดยเฉพาะแก่ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติเช่น ท่านลูเราะห์ ผู้เป็นที่นับหน้าถือตา และท่านฮัจญีผู้รอบรู้ และพวกผมเองก็ปรารถนาสันติ และความร่วมมือจากหมู่บ้านดุจเดียวกัน”
ชายหนุ่มขอให้ผู้เฒ่าตามเขาไปเรือนพักชั่วคราว อีกด้านหนึ่งของเนินเขา
ลูเราะห์และฮัจญีเหลียวกลับไปดูหลุมศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของมันบ่งบอกคุณค่าและราศียิ่งนัก หลุมนั้นสร้างขึ้นด้วยหินสีเทาคล้ำจากท้องแม่น้ำ บัดนี้ เริ่มมีตะไคร่น้ำจับเขียวเป็นพรืด ยิ่งพิศดูยิ่งขลังน่าเกรงขามและแฝงเร้นอำนาจลึกลับมากกว่าเดิม เหนือหลุมศพผ้ายันต์สีเหลืองถูกกางขึงกับไม้สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงปักไว้สี่ทิศ เครื่องเซ่นสักการะ มีไข่ไก่, มาลัยดอกมะลิ, และดอกกระดังงาวางเกลื่อนกลาด ในขณะที่ธูปในกระถางลุกแดงตลอดเวลา บริเวณใกล้เคียงกัน มีต้นลั่นทมต้นใหญ่ผูกล่ามด้วยแพะสามตัวอันเป็นของถวายจากฮัจญีมีอันจะกินท่านหนึ่งจากหมู่บ้านอื่น บางคราลูกไก่เป็นๆจะถูกนำมาเซ่นไหว้ แต่มีชีวิตอยู่หน้าหลุมได้ไม่ทันข้ามคืน ก็มีอันต้องหายลงหม้อของปักเคนตง หรือโต๊ะครูในหมู่บ้านไม่คนใดคนหนึ่ง คนเหล่านี้สามารถจัดระบบแบ่งสันปันส่วนของบูชาที่มีราคาค่างวดกันอยู่ดีอย่างเช่นเงินเหรียญ ธนบัตร ผ้าเป็นชิ้น ตลอดจนลูกไก่และแพะเซ่นสารพัด
ปักเคนตงจะวางท่านั่งสำรวมข้างหลุมศักดิ์สิทธิ์ ก้มหน้าสวดคัมภีร์กุรอานตามภารกิจของผู้อุปถัมภ์สืบต่อจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด
ภาพตระหง่านงามที่ปรากฏตรงหน้ายิ่งเพิ่มพูนความเด็ดเดี่ยวของผู้อวุโสใน
การปกป้องหลุมศักดิ์สิทธิ์ชนิดไม่คิดชีวิต ทั้งสองถอนใจเฮือกหนึ่ง แล้วจึงลากเท้าตามซานุซีไปยังเรือนชั่วคราว ภายในนั้น มีโต๊ะเก้าอี้วางโหรงเหรงนับตัวได้ แบบแปลนแผนผังตัวอาคาร ถนน และต้นไม้วางกางอยู่บนโต๊ะ ซานุซีจัดแจงเก็บโต๊ะตัวหนึ่งให้เข้าที่เข้าทาง ยกเก้าอี้ให้ผู้มาเยือนท่าทางปั้นปึ่งนั่ง
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งด้วย พลางยื่นบุหรี่ส่งให้ด้วยอาการอ่อนน้อม สองผู้อาวุโสปฏิเสธแบบผู้ดีออกไป ด้วยไม่สนิทใจที่จะสูบบุหรี่ของคู่ปรับ
ทั้งสองปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยอ้างเหตุผลว่า ไม่คุ้นเคยกับรสชาติยาสูบในเมืองเนื่องจากชินกับยาสูบที่ม้วนใบจากเสียแล้ว
“ในฐานะตัวแทนของสาธุชนชาวจิกูนิง(แปลว่าแม่น้ำเหลือง)” ลูเราะห์เริ่มการเจรจา “เรามาที่นี่ เพื่อขอร้องคุณด้วยความจริงใจ ให้ระงับการเคลื่อนย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์เสียเถิด รังแต่จะรบกวนดวงวิญญาณของท่านโต๊ะญีเมาลานา อาราเบีย เดือดดาลคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งตัวคุณเอง และครอบครัวญาติมิตรจะพลอยวิบัติไปตามๆกัน เราใคร่ขอเตือนไว้”
“ผมทราบดี และขอขอบคุณในคำเตือนด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน”
ซานุซีตอบอย่างขึงขัง “ท่านจะกรุณาเล่าความเป็นมาของหลุมศักดิ์สิทธิ์ให้ผมบ้างได้หรือไม่”
“อือม์ อือม์” ฮัจญีอังโกสกระแอมตามแบบฉบับของเจ้าตัว
ฮัจญีรอบรู้ประวัติเบื้องหลังหลุมศักดิ์สิทธิ์นี้ตลอด แกจะยอมถ่ายถอดให้เจ้าหนุ่มผู้โอหังดูสักครา
“เรื่องมันยาว” ฮัจญีอังโกสกล่าวอย่างสำคัญตน “หลุมนี้อายุเก่าแก่นมนานเกินกว่าที่ใครในหมู่บ้านจะบอกได้ว่ามีถิ่นกำเนิดมาแต่ครั้งใด มันต้องนานนับศตวรรษทีเดียวสมัยที่ชาวเกาะชวายังหลงบูชาผีสางเทวดากันอยู่ มีนักบวชท่านหนึ่งจากดินแดนอาราเบีย นำเอาศาสนาอิสลามาสู่พวกเรา ท่านผู้นี้มีนามว่า โต๊ะญี เมาลานา อาราเบีย แต่กระนั้น ยังมีผู้ไม่ยอมเชื่อท่าน คอยแต่ท้าพิสูจน์ให้ปรากฏแก่ตา คุณต้องรู้ก่อนว่าครั้งกระโน้น น้ำในแม่น้ำยังใสสะอาด อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านอาจหาญไปลองดีท่านโต๊ะญีอีก ท่านโต๊ะญีสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าให้ดลบันดาลน้ำในแม่น้ำเป็นสีเหลือง เล่นเอาใครต่อใครสิ้นพยศไปตามๆกัน คุณคงเห็นว่า น้ำใสๆกลายเป็นสีเหลืองขุ่นไปทั้งสาย มาจนกระทั่งทุกวันนี้หมู่บ้านของเราเลยได้รับขนานนามว่า “จิกูนิง” ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านทุกคนจึงเปลี่ยนมานับถืออิสลาม ท่านโต๊ะญียังได้สำแดงอภินิหารอีกมากมาย ด้วยบารมีพระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นที่ยกย่องนับถือในฐานะผู้เนรมิตสายฝนในยามแล้งและประทานบุตรแก่สามีภรรยาที่เป็นหมัน ท่านสามารถเดินทางไปกลับนครมักกะฮ์ได้ในเวลาชั่วพริบตา สิงสาราสัตว์ในพงพีมิกล้ากล้ำกรายท่านแม้เพียงเส้นผม บรรดาอสรพิษและแมลงป่องไม่เคยฉกกัดท่านเลย ท่านคือนักบุญผู้ประเสริฐสุดโดยแท้ วันที่ท่านสิ้นลมปราณท้องฟ้าพลันมืดมิดไร้แสงตะวันทั้งวัน เขาฝังศพท่านไว้บนยอดเขานี้ หลุมศพของท่านจึงได้เป็นที่สักการบูชามาจนถึงทุกวันนี้ เราจะสาธยายปาฏิหาริย์ต่างๆ ของหลุมฝังศพให้ฟัง…”
ซานูซียกมือห้าม และเผยยิ้มตามมารยาท “ผมรู้สึกเป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ถึงอย่างไร พวกผมก็จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหลุมนี้อยู่ดี พวกผมให้คำมั่นได้เลยว่าจะปฏิบัติตามพิธีทางศาสนาทุกขั้นตอน พวกผมได้ตระเตรียมสถานที่ใหม่ทำเลดีกว่านี้อีก อยู่ใกล้ตัวหมู่บ้านจะไปมาย่อมสะดวกกว่าถ่อมาถึงยอดเขาเช่นนี้”
“แต่นั้นมันเท่ากับหลบหลู่อย่างแรง พระคัมภีร์กุรอ่านได้บัญญัติห้ามขุดหรือเคลื่อนย้ายหลุมศพใดๆ“ ฮัจญีอังโกสอ้างข้อความภาษาอาหรับเป็นวรรคๆ ซานุซีอ้างอิงข้อความภาษาอาหรับมาพิสูจน์คัดค้านกับพ่อเฒ่าฮัจญีและลูเราะห์บ้างว่าไม่ปรากฏตอนใดในกุรอ่านจะระบุการห้ามการโยกย้ายหลุมศพ ไม่ว่าจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่เพียงใดเลย
“แต่ข้ายังข้องใจในคำพูดของพ่อหนุ่ม” ฮัจญีอังโกสกล่าว “ถึงแม้พ่อหนุ่มจะดูท่าแม่นยำคัมภีร์อัลกุรอ่าน แต่ในสายตาของเราแล้ว พ่อหนุ่มไม่มีคุณสมบัติของมุสลิมที่เคร่งครัดติดอยู่เลย พ่อหนุ่มยังดันทุรังเอาต้นไม้ของพวกคริสเตียนมาปลูกอีกด้วย”
ซานุซีมีท่าทีขึงขัง “ต้นไม้คริสเตียนเรอะ ไม่ใช่นี้นา มันเป็นต้นสนธรรมดาๆ”
“ไม่ ไม่ใช่แน่ แกเรียกของแกเองว่าต้นสนไปคนเดียวเถอะ เนื้อแท้แล้วมันคือต้นไม้ของพวกคริสเตียน พวกนั้นไม่ได้เอามาปลูกมาประดับหน้าโบสถ์ของมันเท่านั้น มันยังเอาไปใช้ในพิธีฉลองคริสต์มาสอีก”
ซานุซีหายถอนใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นยืนไปหยิบหนังสือจากโต๊ะข้างเคียงมาพลิกหาหน้า จนพบภาพต้นสนรายล้อมมัสยิดโอ่อ่าหลังหนึ่ง จึงเปิดให้สองผู้เฒ่าดูเต็มตา
“นี่ไง ดูเสีย” ซานุซีร้องบอก “รูปมัสยิดในกรุงไคโรยังปลูกต้นสนล้อมรอบ ไม่ใช่ต้นไม้คริสเตียนอะไรอย่างที่ว่า แล้วรูปนี้อีก” ชายหนุ่มพลิกผ่านหลายหน้า
“นี้เป็นมัสยิดในกรุงเลบานอน มีต้นสนล้อมเป็นแถวเหมือนกัน ส่วนนี้คือ มัสยิดในอินเดีย ปลูกต้นสนไว้ในสวน แล้วยังรูปนี้ แล้วก็รูปนี้ มันไม่ใช่คริสเตียนนอกศาสนาที่ไหน มันเป็นต้นสนต่างหาก ท่านคงไม่เที่ยวประณามพวกอียิปต์ อาหรับ อินเดีย ว่าเป็นพวกนอกศาสนาไปหมดนะ เพียงเพราะเหตุผลที่ปลูกต้นสนไว้ในสวนที่มัสยิด ”
เฒ่าฮัจญีนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง มันยากอยู่ที่คนอย่างแกจะยอมแพ้ แต่แกเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับว่าหนนี้ยกให้เป็นทีของชายหนุ่มไป
“ตกลง เอาอย่างนั้นก็ได้ เอาเป็นว่ามันเป็นต้นสน ทั้งๆที่ข้าเองยังรู้สึกอยู่ตลอดทุกขณะจิตว่า มันไม่ผิดกับต้นไม้ที่พวกคริสเตียนใช้ฉลองคริสต์มาสของมัน ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันเอามันมาแปดเปื้อนมัสยิดเด็ดขาด” ฮัจญีอังโกสจ้องหน้าซานุซีเขม็ง
ซานุซียิ้มรับ มือปิดหนังสือเสีย “ฟังนะ ท่านฮัจญีผู้รอบรู้ และท่านรูเลาะห์อันเป็นที่นับถือ พวกผมมาที่นี้ในฐานะมุสลิมที่ดีเช่นเดียวกัน พวกผมต้องสร้างมัดรอซะฮ์(โรงเรียน)หลังใหม่ มิได้ไว้สอนวิชาการความรู้สมัยใหม่เพียงอย่างเดียว แต่พวกผมต้องการให้การศึกษาแผนใหม่แก่ผู้นำทางศาสนาในหมู่บ้านด้วย เขาเหล่านั้นจะเป็นผู้นำทางศาสนาด้านเดียวไม่เพียงพอเสียแล้ว จะต้องเป็นผู้นำทางสังคมควบคู่กัน จะนั่งรับทานจากชาวบ้านไปวันๆไม่ได้ จะต้องลุกขึ้นพร้อมช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแก่ชาวบ้าน ให้คำแนะนำปรึกษาทั้งเรื่องศาสนกิจ การสร้างคูคลองส่งน้ำให้มีประสิทธิภาพ การผสมพันธุ์สัตว์เลี้ยงให้ได้พันธุ์ดีขึ้น การสร้างเล้าไก่ สร้างครัว ปรับปรุงเรื่องอนามัยสาธารณูปโภค การใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติรอบตัวให้คุ้มค่า การจักสานเครื่องใช้ไม้สอยด้วยไม้ไผ่ การปั้นดินเหนียว พวกเขาจำเป็นต้องรู้วิธีการส่งเสริมงานหัตถกรรมพื้นเมืองที่ใกล้จะสูญไปตามกาลเวลา ดังเช่นงานช่างทอง ช่างเงิน ช่างตีเหล็ก เราต้องการบ่มเพาะนิสัยชาวบ้านให้ถนอมรักต้นไม้ พืชผักนานาชนิด สิงสาราสัตว์ รวมทั้งป่าเขาลำเนาไพร เราอยากจะบ่มเพาะชาวบ้านให้สำนึกว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มจากตัวเขาเองก่อนอื่นใด เพราะพวกเขานี่แหละคือพลังรากฐานของชาติบ้านเมือง พวกเราเป็นประชาชาติที่ได้รับพรจากสวรรค์ให้ได้อาศัยอยู่ในอุทยานพฤกษชาติอันรื่นรมย์แห่งนี้ เราจะต้องผดุงรักษามรดกอันล้ำค่านี้ไว้ มันเป็นหน้าที่ของเราชาวมุสลิม เป็นภารกิจของพวกเราต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้
“พ่อหนุ่มช่างเจรจาเหลือเกิน ปากคอหวานราวกับลิ้นอาบน้ำผึ้งเชียว” เฒ่าฮัจญีอังโกสประชด
“เราต้องการสร้างมัสยิดที่ตรงนั้นให้ได้ และ…” ชายหนุ่มจดจ้องฮัจญีไม่วาง “เราต้องการบูชาเฉพาะพระองค์เพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่เทวรูปหรือหลุมศักดิ์สิทธิ์ใดๆ… พระองค์ตรัสไว้ว่า
“จงละเว้นการบูชาเดือนหรือตะวัน จงบูชาเพียงเรา พระผู้สร้างโลกเท่านั้น หากเจ้าปรารถนาจะบูชาพระผู้เป็นเจ้า”
ถูกแย้งกลับด้วยประโยคที่คัดจากคัมภีร์กุรอ่านเข้า เฒ่าฮัจญีอังโกสและ ลูเราะห์ปริปากไม่ออกสักคำเดียว เฒ่าฮัจญีเริ่มรู้สึกตัวว่าหมดหนทางเอาชนะเด็กหนุ่มผู้รู้มากเสียแล้ว แต่อย่างไรเสียแกจะไม่ยอมละทิฐิสยบหัวให้กับเด็กหนุ่มบ้าดีเดือดคนนี้ง่ายๆ
“ถ้าเช่นนั้น” ฮัจญีตัดบท “ข้าก็จนปัญญาที่จะไปขืนใจพ่อหนุ่มให้เลิกแผนการบ้าๆนั่น ในเมื่อที่ดินทั้งผืนเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อหนุ่ม ได้ซื้อมาด้วยเงินทองตัวเอง ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่เห็นแก่ชาวบ้านเขา ใครจะไปบังคับใจพ่อหนุ่มได้ แต่ขออย่างเดียวเวลาจะเคลื่อนย้าย ขอให้ประกอบพิธีบวงสรวงขอขมาลาโทษท่านเมาลานา ให้ถูกต้องด้วยธรรมเนียม อย่าให้ขาดตกบกพร่อง อย่างน้อยที่สุด ต้องเซ่นด้วยแพะสามตัว ต้องสวด… ”
“ครับ ผมเห็นด้วยกับท่านเป็นอย่างยิ่ง” ซานุซีรับคำแข็งขัน “ผมใคร่ขอให้ท่านฮัจญีรับหน้าที่ทำพิธีเลย”
เฒ่าฮัจญีใช้ความคิดในฉับพลัน หากแกรับคำ สิ่งที่แกจะได้คือศรัทธาความนับหน้าถือตาจากชาวบ้าน คิดได้ดังนั้น จึงตอบตกลง
3
กว่าลูเราะห์และฮัจญีจะเกลี้ยกล่อมชาวบ้านให้ยินยอมกับการขุดย้ายหลุมศักดิ์สิทธิ์สำเร็จต้องประสบอุปสรรคนานัปการ พวกหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งถึงกับประกาศตัวปกป้องหลุมศักดิ์สิทธิ์ด้วยกำลังทุกวิถีทาง เหลือแต่เพียงการกล่าวอ้างคัมภีร์ กุรอ่านกับคำสั่งเฉียบขาดของลูเราะห์เท่านั้นที่พอจะบรรเทาเบาบางปฏิกิริยาของชาวบ้านส่วนใหญ่ให้สงบลงได้บ้าง ว่ากันตามตัวบทกฎหมายด้วยแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในหลุมนั้นเลย เนื่องจากมันตั้งอยู่นอกอนาเขตหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง
ฤกษ์ที่วางไว้มาถึง ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านทยอยกันไต่เขาขึ้นไปร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง หลายคนส่อสีหน้าพรั่นพรึงไม่สร่างซา ขณะที่อีกไม่น้อยกลับร้องรำทำเพลงกันเป็นที่ครึกครื้น โดยเฉพาะในหมู่เด็กหนุ่มสาววัยคะนอง ได้อิ่มหมีพีมันกับอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มอภินันทนาการจากซานุซี เฒ่าฮัจญีเป็นผู้สวดน้ำพิธี คนที่ยืนรอบๆสวดตามรับกัน แพะสามตัวถูกเชือดสังเวย ปักเคนตงปลดผ้ายันต์ออกพับเก็บด้วยมือสั่นระริก ซานุซีลอบถอนหายใจอย่างหนักอก ชายฉกรรจ์ล่ำสันสี่นายซึ่งรับหน้าที่ขุดหลุมกลับยืนมือไม้แข็ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่นสุดชีวิต
ซานุซีตัดสินใจเข้ากู้สถานการณ์ด้วยการลงมือทำเป็นตัวอย่าง หยิบจอบขึ้นพลางสวดภาวนา ”ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเมตตาเขาหาที่สุดมิได้” แล้วจ้วงจอบลงไปในหลุม ทุกคน ณ ที่นั้นหยุดหายใจ ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มันจะแสดงปาฏิหาริย์
ลงทัณฑ์ชายหนุ่มให้ล้มลงแดดิ้นหรือเปล่า ซานุซีโหมแรงตักดินอีกหน ยังไม่มีสิ่งใดบังเกิดขึ้น ชายฉกรรจ์หนึ่งในสี่เกิดกล้าขึ้นและเดินเข้าช่วยซานุซีอีกแรง ในที่สุด สามคนที่เหลือก็ค่อยคลายความขี้ขลาดตาขาวเป็นปลิดทิ้ง ผู้เข้าร่วมในพิธีหายใจโล่งปอดขึ้นมาบ้าง ขุดลึกลงไปลึกลงไประดับสมควรแล้ว แต่ยังมิพบร่องรอยสิ่งใด
“ขุดลงไปอีก” ซานุซีเรียกร้องบอกเพื่อนร่วมงาน ทั้งหมดก้มหน้าขุดลงไป ขุดลงไปแต่ไม่เจอะเจอแม้แต่ซาก และแล้วซานุซีก็บอกให้วางมือ หันไปกล่าวแก่ชาวบ้าน “หลุมนี้ว่างเปล่ามันหาได้ศักดิ์สิทธ์แต่อย่างใด”
ปักเคนตงหน้าซีดเผือก ฝูงชนพลันตะลึงอ้ำอึ้ง
เฒ่าฮัจญีเห็นสบโอกาสออกแสดงบทบ้าง
“ไม่จริง ไม่เป็นความจริง หลุมนี้ไม่ได้ว่างเปล่า ที่เห็นนี้เป็นปาฏิหาริย์ของท่านเมาลานาอาราเบียต่างหาก ดวงวิญญาณท่านคงจะพิโรธโกรธกริ้ว จึงบันดาลให้สิ่งต่างๆหายวับไป เพื่อมิให้มนุษย์ใจบาปหยาบช้าได้มองเห็น ถึงคราวนี้ เราเห็นจะต้องฆ่ากวางสังเวยท่าน ให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติ เมื่อปัดเป่าความหายนะให้พ้นหมู่บ้าน เจ้าจะต้องเป็นคนเซ่นถวาย” ฮัจญีชี้ใส่หน้าซานุซี
“ครับผม” ซานุซีตัดสินใจในทันที “ท่านฮัจญีให้เหตุผลว่า ดวงวิญญาณของท่านเมาลานาได้ดลบันดาลให้ซากที่เหลือสิ้นสูญไป แต่ผมขอยืนยันคำพูดเดิมว่ามันเป็นหลุมว่างเปล่า มันไม่ได้ศักดิ์สิทธิอะไร ผมยอมรับหน้าที่เซ่นสังเวยกวางหนึ่งตัว แต่ต้องภายหลังจากวันนี้ไปสองสัปดาห์แล้วเท่านั้น หากมีเภทภัยเกิดกับผมภายในสองสัปดาห์นั้น ย่อมหมายความว่า ผมถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ที่บังอาจสบประมาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากผมยังอยู่เป็นปกติสุขเรียบร้อย ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์เรียบร้อยได้แล้วว่า หลุมดินนี้ว่างเปล่า มิได้มีความศักดิ์สิทธิ์แต่เพียงนิด แม้แต่ท่านเมาลานา ก็มิได้มีตัวตนอยู่จริง”
สาธุชนพากันผงะผวาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำอุกอาจของชายหนุ่มต่างนึกประหวั่นครั่นคร้ามอยู่ว่า ชายหนุ่มจะล้มพับลงจมธรณีไปต่อหน้าต่อตา แต่แล้วกลับมิมีปรากฏเหตุใดๆ ตลอดเวลาสองสัปดาห์ มิตรสหายช่วยกันระวังระไวซานุซีทุก ฝีก้าวจะเผลอปล่อยให้หกล้ม แข้งขาแพลงหรือหัก หรือล้มป่วยปวดท้องปวดหัวมิได้เป็นอันขาด ชาวบ้านทุกคนสะกดใจรอคอยปาฏิหาริย์อย่างจดจ่อ
ถึงกำหนดสองสัปดาห์ผ่านพ้นไป ซานุซีจึงส่งรถแทรคเตอร์ลงมือไถเกลี่ยหลุมให้ราบเรียบ
งานสร้างมัดรอซะฮ์หลังใหม่ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้ว ณ บัดนี้
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ซานุซีกำลังคุมงานง่วนอยู่ บุตรชายของลูเราะห์ก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาตามตัวเขา พลางละล่ำละลักแจ้งเรื่องปักเคนตงแขวนคอตาย ชายหนุ่มรีบกวดตามเด็กน้อยไปทันที ที่หน้าบ้านของปักเคนตง ชาวบ้านเดินเคียงได้มุ่งคอยท่าอยู่แล้ว ครั้นซานุซีมาถึง ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขยาดขยาด ซานุซีกระโดดขึ้นชานจั้มอ้าวไปในเรือน
ปักเคนตงนอนอยู่บนแคร่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านรวมทั้งฮัจญีและลูเราะห์อยู่พร้อมกันที่นั่น ซานูซีคลำชีพจรของปักเคนตง แล้วก้มศีรษะลงแนบอก จึงได้รู้ว่าหัวใจของปักเคนตงยังเต้นอยู่แต่อ่อนกำลังเต็มที
“ยังไม่ตาย” ชายหนุ่มหันมาบอก พลางรีบใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เพียงสี่สิบห้านาทีก็ได้ผลทันตา หัวใจของปักเคนตงกลับมาทำงานตามปกติ
“โอ้โห” คำอุทานได้อัศจรรย์ใจกระหึ่มขึ้นในห้องนอกบ้าน และกระจายไปทั่วหมู่บ้าน
“ปาฏิหาริย์” เสียงหนึ่งเปล่งด้วยแรงศรัทธาแก่กล้า
ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มีอำนาจลึกลับชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ อีกคนกล่าวเสียงกระเส่า
อีกคนพร่ำพูดแต่ว่าหนุ่มแปลกหน้านี้แหละคือนักบุญผู้วิเศษ โจษจันกันปากต่อปาก กระทั่งข่าวร่ำลือกันเซ็งแซ่ ทุกมุมเมือง
ส่วนปักเคนตงก็สารภาพกับซานุซี หลักจากก้มลงจูบที่มือของผู้มีพระคุณด้วยอาการนอบน้อมเยี้ยงสามัญชนผู้ปฏิบัติต่อนักบุญว่า สาเหตุที่ตนหมายจะฆ่าตัวตายก็เพราะชีวิตนี้ไร้ความหมายเมื่อได้รู้ความจริงว่าตายหลงฟูมฟักรักษาหลุมดินว่างเปล่ามาตลอดชีวิต มันมิได้ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังว่างเปล่าอีกด้วย
“แม้แต่เด็กไม่ประสีประสามันยังซุบซิบกันว่า ข้าเป็นมนุษย์หลอกว่าโคตรเหง้าตระกูลข้าทั้งตระกูลได้ตบตาชาวบ้านที่นี้และที่อื่นไปทั่ว ใครต่อใครพากันกล่าวโทษข้าคนเดียว พวกฮัจญีก็เช่นกัน หาว่าข้ามันโง่ดักดาน…” ปักเคนตงสะอื้นไห้ฮักๆ ขณะซานุซีพยายามปลอบให้กำลังใจ “มันก็เหมือนกับคนที่ยังอยู่นี้แหละ” ซานุซีว่า “ผู้นำที่ไหนสักคนมาให้คำสัญญาเป็นคุ้งเป็นแคว จนชาวบ้านหลงเป็นจริงเป็นจัง ครั้นชาวบ้านรู้ความจริงเข้า พวกเขาก็หมดศรัทธาผู้นำที่โกหกตอแหล พวกเขาไม่เห็นต้องฆ่าตัวตายเลย เปรียบไปแล้วก็เช่นเดียวกับหลุมศักดิ์สิทธิ์นี้แหละ เมื่อเรารู้ว่ามันเป็นมายาเราก็เหวี่ยงทิ้งไป ตั้งหน้าแสวงหาสัจธรรมอันใหม่”
“ท่านพูดถูก ท่านพูดถูกต้องแล้ว ท่านช่างหลักแหลมเสียนี่กระไร บัดนี้ ท่านจงเป็นนักบุญผู้วิเศษของเราเถิด” ปักเคนตงกล่าวจบ ทรุดลงจุมพิตมือวานุซีอีกคราที่สองแล้วถลันไปป่าวประกาศข่าวมงคลทั่วหมู่บ้าน
ซานุซีมิอาจต้านทานคลื่นมหาชนชายหญิงทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ ต่างกรูกันห้อมล้อมขอพรร้อยแปดพันประการให้สมมาดปรารถนา ซานุซีปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนหาใช่นักบุญที่ไหน แต่ไม่เป็นผล ทุกคนเชื่อหมดจิตหมดใจว่าด้วยพลังอำนาจในตัวซานุซี ช่วยปักเคนตงให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ขอสัมผัสแค่ปลายนิ้ว หรือน้ำที่เหลือก้นถ้วยของซานุซี ก็เพียงพอแล้ว
ทั้งหมู่บ้านกลับคืนสันติสุขอีกครา เมื่อได้นักบุญผู้วิเศษคนใหม่มาแทน
ลึกลงไปในใจซานุซี ชายหนุ่มต้องต่อสู้กับความรู้สึกขัดแย้งตัวเอง ในเวลาเดียวกัน ก็กลับรู้สึกพันธนาการกับบทบาทใหม่ที่ถูกอุปโลกน์อย่างน่าประหลาด
จากเรื่องThe Sacred Grave
รวมเรื่องสั้นอินโดนีเซีย “เสียงของประชาชน” เรืองยศ จันทรคีรี บรรณาธิการ