ไวท์แชนเนลกำลังจะครองโลก‬

เห็นเพื่อนว่าวันนี้ในรายการอัลบะยาน เชคริฎอพูดถึงเรื่องตัดเค้กสั้นๆเองว่า “ถ้ามีสุนนะฮฺในการตัดเค้กก็บอกมาได้นะ ฮะฮะฮะ” คือเชคหัวเราะ ไม่ถึงนาทีก็เปลี่ยนเรื่องพูด เป็นเรื่องจริงๆแหละเมื่อวาน แต่คำชี้แจงสั้นๆของเชคบอกถึงการให้อภัยและเอ็นดูชีอะฮฺกับคุณอะฮฺมัดรอชีดี อิสมัญ ซูฟีเจ้าเก่านักก่อความวุ่นวายแห่งยุคสมัย อยู่เหมือนกันนะครับ เสียเวลาไปตอแยด้วย เพราะอย่างที่รู้ คนเหล่านี่นอกจากร้ายกาจแล้วยังน่าสงสารด้วย
.
ใครขี้เกียจอ่านยาวๆที่เค้าเขียนๆกัน จะสรุปให้ครับ เมื่อวานไวท์จัด ‘งานสัมนาปิดไตรมาสครั้งที่ 4 ของปี 2558’ ครับ แล้วมีพี่น้องส่งเค้กมาให้กิน (จ่ายเงินด้วยนะ) ผู้บริหารไวท์ก็เลยตัดเค้กให้พนักงานเอาไปกินกัน เชคยังแซวด้วยว่าเด่วเป็นประเด็นๆ ปรากฏว่าจริงด้วย เริ่มที่ Mtoday สำนักข่าวชีอะฮฺเอาภาพไปทำข่าวบอกว่า ‘ไวท์ฉลองวันเกิด’ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ จากนั้นคุณอะฮฺมัดรอชีดี อิสมัญ ก็จับมือชีอะฮฺขึ้นมาหอมแล้วเคปเจอร์ส่งต่อให้สาวกซูฟีของเค้าในห้องไม่แอบอ้างทำนองว่า นี่ไงๆวะฮาบีชอบบอกว่างานวันเกิด ‘เมาลิดนบี’ บิดอะฮฺอย่างงู่นอย่างงี้ แต่ตัวเองทำได้นะจ๊ะ แล้วเหล่าสาวกที่ตามมาคอมเมนต์ก็ฮูยาๆๆ ด่าไวท์และยกมือสรรเสริญความฉลาดหลักแหลมของคุณอะฮฺมัดรอชีดี กันถ้วนหน้า โดยไม่รู้เลยว่าอุละมาอฺอัซฮัรที่พวกเขายกย่อง เช่น ดร.อะลี ญุมอะฮฺ ก็เคยตัดเค้กมาแล้วเหมือนกัน
.
กลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน เสียเวลาทำงานดะอฺวะฮฺของชาวไวท์ที่ต้องรีบออกมาชี้แจงว่ามันไม่ใช่เค้กวันเกิดหรอกครับ เค้กธรรมดาๆนี่แหละ ก็เลยถามกลับว่า ‘ตัดเค้กนี่มันเป็นเรื่องศาสนาหรือไง?’ จึงเอาไปเทียบกับเรื่องเมาลิดหรืองานวันเกิดนบี แต่พอเชื่อมโยงเอาตั้งแต่เคปเจอร์ชีอะฮฺมาถึงของคุณอะฮฺมัด จึงเข้าใจได้ว่า ‘ทีแรก’ ที่ด่าไวท์น่ะไม่ใช่เพราะ ‘การตัดเค้ก’ แต่เพราะไปเทียบว่าไวท์ ‘จัดงานครบรอบหรือวันเกิด’ นี่เองครับ แต่พอชี้แจงไปแล้วว่าไม่ใช่งานวันเกิด สาวกซูฟีที่ยังฮูยาๆตะคริวกินเอามือลงมาไม่ได้ ก็เหลือเรื่องพฤติกรรมการตัดเค้กนี่แหละที่พอจะตีเชคกับทีมไวท์ได้ นานๆที จัดไปอย่าให้เสียทักษะความอิจฉาริษยา นี่เลยเป็นที่มาของการชี้แจงสั้นๆจากเชควันนี้ว่า “ถ้ามีสุนนะฮฺในการตัดเค้กก็บอกมาได้นะ ฮะฮะฮะ” หมายถึงถ้าพวกคุณยังคิดว่าการตัดเค้กแบบนี้ (ยืน-ใช้มีดตัด) เป็นเรื่องที่ไม่มีในอิสลาม เป็นบิดอะฮฺ ไม่เป็นสุนนะฮฺ งั้นช่วยบอกหน่อยสิว่าที่เป็นสุนนะฮฺน่ะยังไง ใช้ช้อนหรือตะเกียบป่ะ
.
น่าสงสารคนเหล่านี้ แม้แต่เรื่องการตามคนศาสนาอื่น พวกเขาก็ไม่เข้าใจ นบีน่ะห้ามตามเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับอัตลักษณ์ทางศาสนาเท่านั้นครับ มิใช่เรื่องทั้งหมดครอบจักรวาล อย่างใส่เนกไท ใส่หมวกแก็ป หรือการตัดเค้ก เช่นเดียวกันกับการไม่เข้าใจในเรื่อง ‘อิบาดัต’ กับ ‘มุอามาลาต’ ซึ่งแอดมิ้นได้เขียนไว้ในโพสต์ที่แชร์คลิป Dr. Bilal Philips (https://www.facebook.com/SmianaJournal/posts/1046623018727715) พวกเขาก็ไม่เข้าใจอยู่นั่นแหละ โจ๊กประหลาดๆอย่างการไล่ให้ไปขี่อูฐอย่ามาขับรถ ก็เลยตามมาอยู่เนื่องๆเวลาจะด่ามุสลิมสุนนะฮฺ
.
ในทางจิตวิทยาคนเหล่านี้จึงน่าเอ็นดู เป็น Anxiety disorder แบบอ่อนๆ เพราะตกเป็นเหยื่อของความกลัว หวาดระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย กลัวว่าจะมีคนมาพังทลายถ้ำของตัวเองที่อุดอู้อยู่มานานนับศตวรรษ กลัวแสงสว่าง พวกเขาจึงสร้างศัตรูขึ้นมาเองด้วยเหตุนี้ เริ่มจากตั้งชื่อให้ว่าวะฮาบี เขียนแผนการร้ายให้เสร็จสรรพ 10 ข้อ 20 ประการว่าไป โดยคนที่พวกเขากลัวอยู่นั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่ไวท์ระดมทุนสร้างอาคารใหม่ ได้เงินบริจาคจากพี่น้องเกินที่คาดคิดอีก ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก อาคารไวท์แชนเนลหลังใหม่คงไม่ต่างจากปราสาทแดร็กคูล่าแล้วกระมัง นี่เลยต้องย้ำกันอยู่เสมอๆถึงพฤติกรรมของคุณอะฮฺมัดรอชีดีและสาวก ภายใต้เกียรติของชุดโต๊ปและสารบั่นที่พวกเขาชอบใส่กัน คนเหล่านี้สะอาดอย่างที่คิดจริงหรือเปล่า? ขออัลลอฮฺทำให้เราห่างไกลพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยครับ

แอดมิ้น

เราขอแนะนำให้คุณอ่านบล็อกนี้ในภาษาสเปนเพื่อเรียนรู้วิธีใช้เว็บไซต์ของเรา

https://mentecuriosa.net
24/12/58

‎โต๊ะครูที่เก่งมากเมื่อพูดคนเดียว‬

666

ยังคงรักษามาตรฐานผู้รู้ที่เก่งทุกครั้งเมื่อ ‘พูดคนเดียว เขียนคนเดียว’ (กลัวเวทีดีเบตมาก?) สำหรับ อ.อารีฟีน แสงวิมาน โต๊ะครูพันธมิตรซูฟีแห่งเมืองไทย ที่ลูกศิษย์ยกให้เป็นอุละมาอฺแห่งเมืองไทยไปแล้ว เห็นแล้วนึกถึงเรื่องในอดีตตอนโกหกใส่คนฟังเรื่องเชคริฎอ จนเชคเสียหายต้องโทรมาถามและให้สาบานมุบาฮาละฮฺ ทำเอาเจ้าตัวอ้ำอึ้งต้องรีบบอกทำนองว่าจะกลับไปทบทวนใหม่ วันนี้เอาอีกแล้วนะครับ แต่โต๊ะครูฝ่ายตรงข้ามคงไม่ค่อยสนใจแล้วก็ได้ เพราะเสียเวลาเหมือนกันที่ต้องมาตามเก็บขยะเรี่ยพื้นของคนเหล่านี้ คนเหล่านี้จะดูเก่งมากถ้าได้พูดคนเดียวบนเวทีโดยไม่มีอีกฝ่ายคอยชี้แจงแบบ Real-time เช่นที่โรงเรียนเก่าของแอดมิ้น ธรรมวิทยามูลนิธิ,ยะลา เขาดูเด่นมากบนเวทีทั้งคำพูดและท่าทางตลอดจนบุคลิก ซึ่งเป็นปกติเมื่อได้อยู่ในบรรยากาศที่รู้ๆกันว่ายอมเขา คือเด็กธรรมจะชอบเขามาก เพราะผ่านการเจียรไนด้วยคำว่า ‘อุละมาอฺมาจากกรุงเทพ’ แล้วนั่นเอง ทั้งๆที่โต๊ะครูมากมายที่แก่ประสบการณ์กว่าเขา ยังพอใจให้คนเรียกอุสตาซด้วยซ้ำ ตัวเขาในวันนั้น ต่างจากตัวเขาเมื่อต้องมานั่งพูดแก้ตัวกับเชคในคลิบมากๆ

ส่วนลูกศิษย์ที่ตัดคำพูดที่ตัดต่อของอาจารย์ตัวเองมาเผยแพร่ คุณ อะหมัดรอชีดี อิสมัญ ก็ร้ายไม่แพ้อาจารย์ตัวเองนะครับ ในอดีตตอนที่ยังไม่ดังก็เคยสมรู้ร่วมคิดส่งคนเข้าไปสืบเพื่อทำลายเกียรติของโต๊ะครูในหาดใหญ่กลุ่มหนึ่งและในมหาลัยอิสลามยะลา (ก่อนเป็น มฟน.) …อะกีดะฮฺของอะฮฺลุสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ หรือของวะฮาบีที่พวกเขาเรียกนั้น ไม่ได้เชื่อเลยว่าอัลลอฮฺทรงมีรูปร่างเช่นคำกล่าวร้ายของ อ.อารีฟีน แต่เขาก็ยังดูถูกคนฟังด้วยการ ‘ตัดต่อ’ เอาคำพูดของเชคอุษัยมีน (จากหนังสือที่คนทั่วไปหาอ่านไม่ได้) มาให้เข้าใจเช่นนั้นอีกจนได้ ภายใต้เกียรติของชุดโต๊ปและสารบั่น คนเหล่านี้ไม่ได้สะอาดอย่างที่คิด ขออัลลอฮฺทำให้เราห่างไกลพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยเถิด

คลิปเสียงเมื่อเชคริฎอโทรไปคุยกับ อ.อารีฟีน แสงวิมาน :
https://youtu.be/gnTPiz6Hx9Y

รอยพระบาทนบีมุฮัมมัด‬

5111

ไม่คิดว่าจะเจอในไทยสำหรับ The Blessed Sandals หรือรองเท้าแห่งความเมตตา เริ่มจากจินตนาการของคนกลุ่มหนึ่งว่ารองเท้านบีน่าจะเป็นเช่นนี้ (อยู่ในพิพิทธภัณฑ์) จากนั้นคนอีกกลุ่มก็นำมาวาดรูปเป็นสัญลักษณ์เริ่มจากกลุ่มซูฟีเบเรลวี (Barelvi) ในอินเดียของ อะฮฺมัด ริฎอ คาน เบเรลวี ซูฟีชื่อดังที่เสียชีวิตเมื่อปี 1921 ที่ตอนนี้กุโบร์ของเขาเป็นที่กราบไหว้ของผู้คนมากมายจากทั่วโลก

เบเรลวีเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้ตัวจริง ไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักหรือเข้าใจเจตนารมร์ของไอน์สไตน์หรือเปล่า แต่ด้วยหลักคิดดิบๆว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ พวกเขานำสัญลักษณ์ที่คิดว่าเป็น ‘แบบของรองเท้านบี’ มาวาดบนกระดาษและใส่อายัตอัลกุรอานลงไปจนดูขึงขลังเป็นที่นิยมสำหรับการติดฝาผนังบนความเชื่อที่กุขึ้นว่าใครที่ครอบครองสิมโบลิกนี้ โลกหน้าเขาจะมีโอกาสเข้าใกล้ตัวท่านนบีเร็วกว่าผู้อื่น จากนั้นสัญลักษณ์นี้ก็ถูกพ่อค้าหัวใสนำไปต่อยอดนวัตกรรมอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเอาไปทำเป็นต่างหู สร้อยคอ แหวน กระเป๋า เข็มกลัด ปิ่นปักผม และที่แอดมิ้นเห็นมาเองและมีมากที่สุดก็คืออยู่บนหมวกกะปีเยาะห์

แอดมิ้นคงบอกไม่ได้ว่าใส่ได้ไหม แต่โดยส่วนตัวพอได้เจอแล้ว คำๆหนึ่งมันโผล่ขึ้นมาในหัวเลยก็คือ ‘รอยพระพุทธบาท’ คือตามคติประติมากรรมรูปเคารพของไทยแล้วมันจะมีสองประเภทครับ ประเภทรูปเคารพ กับ ประเภทสัญลักษณ์ ที่นี่อย่างที่เรารู้ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน (เสียชีวิต) ใหม่ๆนั้น ศาสนาพุทธยังไม่มีรูปเคารพโดยเฉพาะพุทธปฏิมาหรือพระพุทธรูปเลย ทว่าเริ่มมีสัญลักษณ์มาก่อนครับ จากนั้นค่อยมีรูปปั้นขึ้นมา สัญลักษณ์ที่ว่าก็เช่น ธรรมจักรกับกวางหมอบ เจดีย์ และรอยพระพุทธบาท ซึ่งจะเป็นประติมากรรมที่ถูกสร้างชนิดจมพื้น (คนละเรื่องกับมะกอมนบีอิบรอฮีมนะครับ นั่นคือไม่ได้ถูกสร้างและไม่ได้มีไว้สำหรับพิธีทางศาสนา) ถ้าชีอะฮฺก็จะมีฝ่ามือท่านหญิงฟาฏีมะฮฺ แบบนี้นะครับ

อิสลามเป็นศาสนาที่ทนทายาทมากที่สุด ไม่ยอมและมีหลักในการตรวจสอบสิ่งผิดปกติที่จะเข้ามาในศาสนาอย่างเข้มงวดเอามากๆ ไม่รู้ว่าที่แอดมิ้นเห็นพวกเขาจะรู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร หรือใส่ตามผู้รู้ซูฟีชาวเยเมนคนหนึ่งที่เชื่อว่ามีเชื้อสายนบีและเพิ่งมาไทยไม่นานมานี้ หน้าตาของรองเท้าแห่งความเมตตานั้น จะมีพัฒนาการอยู่เหมือนกันตามลักษณะการใช้สอย บนกาปีเยาะห์จะคล้ายๆตัวพลานาเรียนะครับ สังเกตไม่ยาก ก็ลองไปดิสคัสเพิ่มเติมดู ว่าสิ่งนี้เข้ามาในสังคมเราได้ยังไง? จะส่งผลยังไง? และมาจากลูกหลานนบีด้วย? อิสลามน่ะมีอัลลอฮฺปกป้อง ไม่มีวันที่เส้นชัยของรองเท้าแห่งความเมตตาจะเป็นรูปปั้นนบีที่ถูกยอมรับอยู่แล้ว คือเราอาจจะบอกว่ามโนไกลไปไหม แต่ลองคิดดูนะ ก็ไม่มีใครคิดนะครับ ว่าวันหนึ่งรองเท้านบีจะมาอยู่บนกะปีเยาะห์ได้ คิดๆไปก็หนาวอยู่ ใครมีลูกมีหลานก็สอนๆหน่อยนะครับ อย่าหลวมตัวให้มี ‘รอยพระบาทนบีมุฮัมมัด’ มาอยู่บนหัวเอาง่ายๆ ดูเหมือนดีได้รำลึกถึงนบีตลอด แต่ใช่หรอ? เพราะหลวมตัวเมื่อไรมีหวังอนาคตคงได้กอดรูปปั้นนบีเงียบๆอยู่ที่บ้านก็ได้ครับ วัลลอฮุอะลัม.

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์อื่นๆ : http://nalayn.com/

21/12/58

52225444533356665555

หลักฟิกฮฺในเรื่องนี้ง่ายๆ

4444

เหมือนอุทาหรณ์เรื่องถ้ำของเปลโต้ (allegory of the cave) การจะอธิบายว่าควรเลิกทำเมาลิดนบีเพราะเป็นอุติรกรรม (บิดอะฮฺ) ทางศาสนา ยากพอๆกับจะบอกมนุษย์ถ้ำของเปลโต้ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนมาตั้งแต่เกิดให้หันมองแต่เงาบนผนังถ้ำว่าเงาที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ความจริง ก็ไม่น่าแปลกที่คนเหล่านี้จึงยังใช้หะดีษแบบเบลอๆที่นบีบอกว่าท่านถือศิลอดวันจันทร์ก็ด้วยเพราะ (สาเหตุหนึ่งคือ) เป็นวันเกิดของท่าน แล้วคนเหล่านี้ก็เอามาใช้เป็นหลักฐานจัดงานวันเกิดให้นบีเสียอย่างนั้น? รวมถึงการบอกให้ ดร.บิลาล เลิกใช้เทคโนโลยี ไอโฟน ไอแพท เพราะสิ่งเหล่านี้ก็เป็นบิดอะฮฺ ไม่มีในสมัยนบีและบรรดาเศาะหาบะฮฺก็ไม่เคยใช้ นี่คือตลกร้ายมากที่คนเหล่านี้และยุคนี้ไม่เข้าใจคำว่า อิบาดัต กับ มุอามาลาต หรือสิ่งสามัญธรรมดาในชีวิตประจำวันซึ่งท่านนบีบอกว่าเรารู้มากกว่าท่าน ก็เหมือนแถวบ้านเราพอบอกนิดเดียวว่าอิบาดัตหรือการประพฤติแบบอ้างอิงศาสนาเช่นนั้นเช่นนี้นบีกับเหล่าเศาะหาบะฮฺไม่เคยทำนะ แล้วคนเหล่านี้ก็จะสวนมาทันทีว่า งั้นเอ็งก็ไปขี่อูฐเลยละกัน

งูยิ่งรักไอสิสยิ่งกินหางตัวเอง‬

3333

ที่จริงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาภาพรวม ต่อกรณีกระแสความรุนแรงในนามของอิสลามในเวลานี้ เช่นเดียวกับการยังคงเชียร์ไอสิส การออกตัวว่ามีอุละมาอฺสนับสนุนไอสิส เช่นอบูบักรฺ บะอัซยิร แห่งอินโดเนเซีย, อัญญิม เญาดะฮฺรี อบูฮัมซะฮฺ อัลมิสรี แห่งเมืองผู้ดี ซึ่งไม่อาลามี (โลกมุสลิมทั่วไปไม่ยอมรับ) ก็พอจะคาดเดาได้ไม่ต่างกัน ที่น่าสังเกตคือ **การเชียร์ไอสิสจะทำให้เราทอดทิ้งอุละมาอฺผู้ทรงธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเราเอาอารมณ์ตัวเองให้อยู่เหนือหลักการ และมีลักษณะของงูกินหางตัวเองด้วย ซึ่งอุละมาอฺผู้ทรงธรรมที่ออกมาเตือนสติเหล่ากองเชียร์ไอสิสเหล่านี้ก็มีความเป็นอาลามีทั้งสิ้น เช่น ชัยคฺ อัดนาน อัรอูด, ชัยคฺ มุฮัมมัด อัลอะรีฟี, ดร.บิลาล ฟิลิป และอีกหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะ เมาลานา สัลมาน อันนัดวี อุละมาอฺจากสำนักนัดวิีของ ซัยยิด อบุลหะสัน อัลนัดวี ท่านนี้ เรื่องที่ท่านวิเคราะห์เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมากครับ (ยิ่งหากเราไม่นิยมความก้าวร้าวโดยพื้นฐาน) สำนักนัดวีมีนิสัยแบบนี้มาช้านาน คือนิ่ง ลึก เนี้ยบ และเจ็บ ตามบุคลิกของซัยยิด อบุลหะสัน อาจารย์ของพวกเขาและอดีตครูใหญ่แห่งมหา’ลัยนัดวะตุลอุละมาอฺ อินเดีย ซึ่งโต๊ะครูสุนนะฮฺไทยมากมายจบออกมา คือเรื่องไอสิสพูดเมื่อไรแม้แต่พี่น้องที่โตมาด้วยกันก็แตกแยกกันได้ ก็ไม่แปลกครับ เพราะแม้แต่อุละมาอฺที่ออกมาเตือนเรื่องพวกนี้พวกเขายังแยกได้ (อย่างน้อยสุดคือไม่ฟัง) ทั้งที่เคยรักใคร่มาก่อน

ไอสิสนำพาความช็อกมาให้มุสลิมทั่วโลก โดยเฉพาะการช็อกอันสืบเนื่องมาจากการที่บางกลุ่มเห็นว่าใช่แล้ว นี่คือความหวังของโลกมุสลิมที่ถูกเหยียบย้ำ แต่อาการช็อกของพวกเขาเหมือนเด็กที่เพิ่งอ่านหนังสือออก แรกเจอสระง่ายๆพวกเขาอ่านฉลุย ครั้นเมื่อเจอสระที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น หลายอย่าก็เริ่มรวน ยิ่งรีบอ่านก็ยิ่งเพี้ยน ยิ่งมีคนเตือนแล้วยังดื้อคิดว่าตนถูกก็ยิ่งบานปลายไปกันใหญ่

ในยุคนบีไม่ปรากฏเลยว่าท่านเคยพูดถึงความดีของคนที่ยึดแนวคิดเคาะวาริจญ์ แต่ยุคเรานี่ต่าง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นการหล่อเลี้ยงแนวคิดแบบนี้ให้คงอยู่ต่อไป ก็ต้องรอดูว่าการรักไอสิส จะทำให้เราต้องกินหางตัวเองไปถึงไหน พูดมากไม่ได้จริงๆ เด่วก็บอกว่าเมาลานา สัลมาน ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิรบ ถือปืน หลบระเบิด สูบกลิ่นคาวเลือดเหมือนไอสิสอีก จะไปเข้าใจไอสิสได้ไง.. หากเป็นเช่นนี้ องค์ความรู้ต่างๆและหน้าที่ของอุละมาอฺก็หมดความศักดิ์สิทธิ์ลงนะครับ เพราะอย่ามาพูดว่าสุราไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ ในเมื่อท่านๆก็ไม่เคยดื่มเลยสักครั้งเดียว.

อันธพาลรัซเซียเข้ามาทำอะไรในซีเรีย‬

2222

น่าจะไม่แฮปปี้นักสำหรับรัซเซียและพันธมิตร สำหรับการปรากฏตัวของคนอย่าง รอมี อัลญัรรอฮฺ (Rami Jarah,30) นักข่าวอิสระและแหล่งข่าวจากสมรภูมิรบที่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่คนโดยเฉพาะในเมืองอเลปโป (หะลับ) บริเวณที่เพิ่งถูกรัซเซียเบิกโรงทิ้งระเบิดเมื่อเช้าวันที่ 30 ตุลา 58 มีชาวบ้านเสียชีวิตไปราว 80 คน และที่เมืองดูมาอีกราว 64 คน, 28 คนในนี้เป็นเด็ก โดยทั้งสองเมืองและพื้นที่อื่นอีกราว 25 แห่ง มีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกนับร้อย ที่น่าสังเกตคือไม่ปรากฏว่ามีร่างของไอสิสสักคนเดียว ตามจุดประสงค์การโจมตีที่รัซเซียประกาศให้โลกรู้มาแต่ต้น

ที่โลกไม่พูดถึงก็คือ บริเวณที่รัซเซียทิ้งระเบิดนั้น เป็นพื้นที่ในการดูแลของกลุ่มมุญาฮิดีนซีเรียกลุ่มใหญ่นำโดย ‘กองกำลังญัยชุลฟัตฮฺ’ แทบทั้งสิ้น ก็เลยตลกเมื่อนักข่าวไทยหลายคนต่างวิเคราะห์โดยยึดตามรัซเซียและแหล่งข่าวตะวันตกที่ว่าฆ่าไอสิสทีนับร้อยหรือไอสิสเริ่มอ่อนกำลังลงจนต้องออกไปก่อความรุนแรงในพื้นที่อื่นของโลก อย่างปารีส เป็นต้น ซึ่งจริงๆรวมๆปี 2015 เท่านั้น จากการโจมตีมากกว่า 50 แห่งทั่วโลก ชาวบ้านทั่วไปที่เสียชีวิตโดยกลุ่มที่อ้างตนเป็นไอสิสนั้นก็มีนับพันแล้ว ไม่ต้องรอให้รัซเซียเข้ามาในซีเรียก่อนแต่อย่างใด (มีลิงค์แนบ) มุมมองแบบนี้เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิดรู เม็ดต่อไปก็ไม่ต้องพูดถึงอีก ความจริงตามรายงานของรอมีคือ หลักๆเลยในอะเลปโปและดูมา อะเลปโปนั้นถ้าจะมองในแง่ของยุทธศาสตร์การรบ มีสามฝ่ายที่ปกครองและแย่งชิงพื้นที่กันอยู่คือ มุญาฮิดีนซีเรีย, ไอสิส และฝ่ายรัฐบาล เรื่องที่รัซเซียมาช่วยบัชชารนั้นแน่อยู่แล้ว แต่ประเด็นคือพื้นที่ของไอสิสกับมุญาฮิดีนซีเรียนั้นอยู่ใกล้กันมาก รอมีเลยตั้งข้อสังเกตในคลิปว่าทำไมรัซเซียถึงมองข้ามไอสิสที่ตนอ้างว่าจะมากำจัดไปได้ แต่กลับมาทิ้งระเบิดใส่บ้านเรือนชาวบ้านและตลาดซึ่งอยู่ในการดูแลของฝ่ายมุญาฮิดีน ชาวบ้านตายไปเกือบร้อย รอมีรายงานสดจากพื้นที่ พาไปดูหลุมระเบิดขนาดใหญ่ในตลาดที่รัซเซียและฝ่ายรัฐบาลร่วมกันทิ้งลงมา ทุกอย่างโกลาหลไปหมด (https://youtu.be/v53KGkEPqYk) วันต่อมาเขาพาไปดูและคุยกับชาวบ้านในพื้นที่และให้ดูว่ามันเป็นตลาดจริงๆ ไม่มีร่องรอยหรืออุปกรณ์การสู้รบของฝ่ายไหนติดตั้งอยู่เลย แม้แต่ของฝ่ายมุญาฮิดีนซีเรียก็ไม่มี เพราะถึงจะอยู่ในมือของกลุ่มมุญาฮิดีน แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ปลอดจากการสู้รบมากๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจรวดมิสไซล์รัซเซียจะตาบอดขนาดนี้ได้ และแน่นอนที่นี่ไม่มีไอสิสอยู่แม้สักคนเดียว (https://youtu.be/PvIzWcKt7Yw)

และเพื่อเป็นการยืนยันว่าการโจมตีไอสิสนั้นเป็นเพียงข้ออ้างตบตาชาวโลก รอมี ซึ่งมีพ่อแม่เป็นนักกิจกรรมทางสังคมในซีเรีย แต่เขาเกิดในไซปรัส และไปโตในอังกฤษ 17 ปี จากนั้นเข้าเรียนทาง journalism ที่ UAE โดยเฉพาะ เขาใช้ภาษาอังกฤษได้แจ่มมาก เคยถูกตามล่าจนต้องออกไปนอกประเทศ เคลื่อนไหวทางทวีตเตอร์ ในชื่อ AlexanderPageSY ประกาศว่าจะไม่ให้อภัยปีศาจบัชชาร อัลอะสัด เด็ดขาด จนสุดท้ายตัดสินใจกลับมาซีเรียอีกครั้งกับเพื่อนๆ พร้อมกับตั้งสำนักข่าวของตัวเองชื่อ ANA PRESS รายงานสถานการณ์และสัมภาษณ์ผู้คนจากสมรภูมิรบโดยตรง ต่างแค่เขาไม่มีเสื้อเกราะและหมวกกันกระสูนเหมือนที่เราเห็นนักข่าวสงครามใส่กัน มีคลิปหนึ่งซึ่งได้แนบมาข้างล่างนั้น ภายหลังการโจมตีเมืองอเลปโป รอมีเดินสัมภาษณ์ชาวเมืองในตลาดร้านรวงด้วยคำถามสองข้อ ไอสิสอยู่ที่นี่มั้ย? และใครยิงระเบิดลงมา? ชาวบ้านทุกคนต่างบอกว่าไม่มีไอสิสที่นี่ ที่นี่พวกเขามีมุญาฮิดีนดูแลอยู่ และรัซเซียคือเจ้าของระเบิดพวกนั้น บางคนบอกด้วยว่าพวกเขาไม่เอาไอสิส เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์ (เข้าใจว่าหมายถึงโหดเหี้ยม-แอดมิ้น) และอัลลอฮฺจะไม่ยอมรับการกระทำของพวกเขา อีกคนบอกว่าเพราะไอสิสฆ่าพวกเขา รอมีเลยสรุปตอนท้ายว่าหลังจากรัซเซียเข้ามา ที่นี่ชาวบ้านจึงมีศัตรูที่มุ่งร้ายพวกเขาอยู่ 3 กลุ่ม รัซเซีย ไอสิส และ บัชชาร (https://youtu.be/biT7XXGMclI)

ส่วนที่ดูมาต้อง 18+ จริงๆ หดหู่และน่าสลด ไม่รู้จะบรรยายยังไงกับเสียงโหยหวนของผู้บาดเจ็บ ไฟที่ลุกไหม้แผงผักผลไม้ ร้านขายอาหาร ศพมากมายที่นอนเรียงรายตามท้องถนน และชายชราที่ร้องเรียกหาชาติอาหรับ ทุกอย่างน่าจะมัดตัวรัซเซียให้เป็นอาชญากรสงครามได้ง่ายมาก รัซเซียทิ้งระเบิดลงใส่ตลาดที่ผู้คนกำลังจับจ่ายซื้อของ เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นตลาดใหญ่ของเมืองที่ชาวบ้านจะเอาผลผลิตต่างๆมาวางขาย (คงเหมือนตลาดผักช่วงเช้าตรู่ ที่พลาซ่าหาดใหญ่) (https://youtu.be/1bPNEUGmRL4) ตลาดที่นี่ไม่มีไอสิสเช่นกัน แต่โดยรวม ดูมาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการสู้รบ เพราะอยู่ในการดูแลของฝ่ายมุญาฮิดีนซีเรีย และตั้งอยู่ชานเมืองดามัสคัส เมืองหลวงและไข่แดงสำคัญอีกแห่งของฝ่ายรัฐบาล ยิ่งไม่ต้องสงสัยอีกถึงเหตุผลในการโจมตี อีกอย่างในซีเรียเวลานี้ เฉพาะในพื้นที่ปกครองของมุญาฮิดีนซีเรีย มีองค์กรอาสาสมัครช่วยเหลือชาวบ้านที่บาดเจ็บ ซึ่งทำงานแข็งขันกันมาก มีคลิปสำคัญหลายอันที่พวกเขาถ่าย มัดตัวรัซเซียได้สบายๆ ถ้าสื่อมวลชนโลกสนใจพวกเขาบ้าง จะรู้ความจริงไรอีกเยอะ ซึ่งคลิปยาวของดูมาก็หาดูได้จากยูทิวบ์ขององค์กรที่แนบมาข้างล่าง

แค่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของการเข้ามาของรัซเซีย หลายๆเรื่อง ชาวโลกก็น่าจะตื่นได้แล้ว แต่คงมีอะไรที่ซับซ้อนอีกเยอะกระมังที่ทำให้พวกเขาหูหนวกตาบอดอยู่อีก นี่ก็ได้ข่าวอีกหลายสิบประเทศจะสนับสนุนรัซเซียด้วย ยังไงก็ขออัลลอฮฺตอบแทนคนอย่าง รอมี อัลญัรรอฮฺ และ พี่น้องจากกลุ่มอาสาสมัครที่ว่าด้วย ในสภาวะที่นักข่าวต่างชาติไม่กล้าเข้ามาอีกแล้วในซีเรีย เพราะไม่รู้คอจะหลุดอีกเมื่อไรนั้น แหล่งข่าวจากรอมีและเพื่อนๆอาสาสมัคร จึงสำคัญมากๆครับ วัลลอฮุอะลัม.

Nearly 150 killed in deadly day of air strikes in Syria
http://www.aljazeera.com/…/150-killed-deadly-day-air-strike…

Mapping ISIL’s attacks in 2015
http://www.aljazeera.com/…/mapping-isils-attacks-2015-15112…

Eyewitness: ‘No IS group in Aleppo, so who is Russia bombing?’
http://observers.france24.com/…/20151127-eyewitness-aleppo-…

The Syria Civil Defense in the Damascus suburbs branch
https://www.youtube.com/cha…/UC53WJnzZ0nrFlMNevkwxzSw/videos

แอดมิ้น
6/12/58

แค่บิดเบือนอัลกุรอานอายัตเดียวปารีสก็หายนะ‬

1111

แค่บิดเบือนอัลกุรอานอายัตเดียวปารีสก็หายนะ‬
นี่ไม่ใช่คำสอนของอิสลาม‬
โปรดชี้แจงให้เพื่อนต่างศาสนิกด้วยครับ‬

ไปเจอวิดิโอที่น่ากลัวมากมาครับ Al-Hayat สื่อของไอสิสปล่อยออกมาหลังปารีสเจอของดีได้ไม่นาน แปลลวกๆนะครับ ลองอ่านดูโดยเฉพาะถ้อยคำของคนที่ 2 และ 3

อบูอุซามะฮฺ อัลฟรันซี คนที่พูดคนแรกเลยบอกว่า “ต่อไปนี้คือสาส์นจากผู้ฮิจญฺเราะฮฺ (ผู้อพยพไปสู่สิ่งที่ดีงาม) ชาวฝรั่งเศส แด่มุสลิมที่ยังอยู่ในดินแดนของกาฟิร ถึงเวลาแล้วที่พวกคุณจะต้องฮิจญ์เราะฮฺมาร่วมกับพวกเรา จะรออะไรอยู่อีก? มัวทำอะไรอยู่ในดินแดนของกาฟิร ทั้งที่อัลลอฮฺได้เปิดประตูสู่การงานที่ดีที่สุดแล้ว พวกคุณไม่อายบ้างหรือไง เรามีสตรีซึ่งฮิจญ์เราะฮฺมาขณะตั้งครรภ์และมาคลอดลูกที่นี่ด้วยซ้ำ”

อบูมัรยัม อัลฟรันซี คนที่สอง คนนี่ถือมีดยาวอยู่ในมือ บอกว่า “ต่อไปนี้ คือสาส์นถึงศัตรูอิสลามทั้งหมด โดยเฉพาะฝรั่งเศส” อบูมัรยัมบอกว่า “มุญาฮิดีนรอบโลกจะไม่ลังเลเลยที่จะไปบั่นคอหัวของคุณ ตราบใดที่คุณยังทิ้งระเบิดอีก คุณอย่าได้นึกฝันว่าจะได้เจอสันติ พวกคุณจะต้องหวาดกลัวทุกครั้งเมื่อเดินไปตลาด (ตรงนี้น่ากลัวมาก) ขอเชิญชวนให้พี่น้องฝรั่งเศสฮิจเราะฮฺมาเถอะ ตอนนี้การญิฮาดนั้นเป็นฟัรฎูอีนแล้ว (วาญิบสำหรับมุสลิมทุกคน) เพราะแท้จริง **คุณถูกสั่งให้สู้กับกาฟิรที่ไหนก็ตามที่เจอพวกเขา จะรออะไรอยู่อีก ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการลุกขึ้นสู้กับศัตรูแล้ว หรือไม่คุณก็ดูรอบๆตัวคุณสิ การใส่นิกอบยากขึ้นทุกที จะหาข้ออ้างอะไรอีกหรือ ชะริอะฮฺเท่านั้นจะมอบความความยุติธรรมให้พวกคุณ” เขาพูดขณะจับมีดแน่นอยู่ในมือ

คนสุดท้ายยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก อบูซัลมาน อัลฟรันซี บอกให้ใครที่ยังอยู่ในแผ่นดินกาเฟร ขอให้ตักวาและเกรงกลัวอัลลอฮฺเถอะ “จงมาให้คำสัตยาบันแก่เคาะลีฟะฮฺ อบูบักรฺ อัลบัฆดาดี ได้แล้ว หากมาทำที่ซิเรียหรืออิรักไม่ได้ ก็ทำที่ๆคุณอยู่ก็ได้ และถ้าหากคุณได้อิบาดัต และมีอะกีดะอย่างบริสุทธิ์ใจดียิ่งแล้ว แต่ยังฮิจเราะมาไม่ได้ ก็จงทำอะไรสักอย่างในฝรั่งเศส ทำให้พวกเขาหวาดกลัว อย่ายอมให้พวกเขานอนหลับได้โดยปราศจากความหวาดกลัว เรามีอาวุธ มีรถยนต์ และเป้าหมายที่จะพร้อมให้โจมตี ยาพิษเราก็มี ฆ่าพวกเขาเสีย แล้วบ้วนน้ำลายใส่หน้าด้วย เอารถลากพวกมันเสีย ทำยังไงก็ได้ให้พวกเขาต้องเสื่อมเสียเกียรติ ให้ขายหน้า ให้สมกับที่พวกเขาได้กระทำ เราจะกลับทั้งครอบครัวไปยังฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อสถาปณาระบอบคิลาฟะฮฺ และลูกหลานเราในรุ่นต่อๆไปก็จะยังสู้กับพวกครุเสดและพวกมุรตัด”

ครับ คงจะยืนยันไม่ได้ร้อยเปอเสนต์ว่าคลิปที่ถ่ายไว้ปีกว่าแล้วนี้ จะเป็นความใฝ่ฝันซึ่งบรรลุผลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาที่กรุงปารีสไหม แต่คำพูดหลายจุด บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเขาไมได้ทำในสิ่งที่อิสลามสอนเลย คนเหล่านี้มักใช้ศาสนาแอบอ้างในการฆ่าคนอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริสุทธิ์ พวกเขากล่าวว่ากำลังแก้แค้นเพื่อสตรีและเด็กมุสลิมที่ถูกฆ่า แล้วพวกเขาก็ไปฆ่าสตรีและเด็กที่ไม่ใช่มุสลิมแทนน่ะหรือ? นี่ไม่ใช่คำสอนของอิสลามหรอกครับ ยังไม่นับคำพูดของอบูมัรยัม ที่หากเขาจะหมายถึงโองการจากอัลกุรอานสูเราะฮฺอัตเตาบัต อายัตที่ 5 แล้วละก็ เขาก็คงจะกระทำผิดมหันต์แล้ว อายัตนั้นไม่ได้บอกให้สู้หรือสังหารกาฟิรในทุกๆที่ที่เจอ แต่ให้สู้กับ ‘มุชริกีน’ ในทุกๆที่ที่เจอ ภายหลังจากที่พวกเขาได้ละเมิดสัญญาและได้ก่อกวนมุสลิม ดูบริบทและคอนเทนต์โดยรวมของสูเราะฮฺด้วย อันนี้เป็นปัญหามากเพราะมีกลุ่มหัวรุนแรงมากมายที่เอามาอ้าง อีกทั้งต่างศาสนิกก็เอาอายัตนี่มาโจมตีมุสลิม อย่างในเวลานี้เช่นกัน เมื่อมีการรณรงค์ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ นัยหนึ่งคือเพื่อปลอดภัยจากพวกมุสลิมที่อัลกุรอานสอนให้ทำร้ายพวกเขา ซึ่งเข้าใจผิดมาก บิดเบือนคำตรัสของพระเจ้า ยังไม่มีโต๊ะครูคนไหนออกมาอธิบายหรือชี้แจงเลย

มุชริกีนคนละนิยามกับคำว่ากาฟิรีนเลยนะครับ อันตรายมาก วัลลอฮุอะลัม.

(ลิงค์ข่าว) แค่บิดเบือนอัลกุรอานอายัตเดียวปารีสก็หายนะ‬

ผู้จุดไฟ‬

001 0011

เห็นตอนนี้ประเด็นเรื่อง ‘ผู้จุดไฟ’ ในสูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายัต 17 กำลังมาแรงในหมู่คนศาสนาระดับแนวหน้าเลยนะครับ เอาเข้าจริง เรื่องนี้ก็นานและน่าจะจบลงนานแล้วด้วย เพราะเถียงไปก็ไม่มีใครยอมใคร อีกอย่างก็มีคนจุดไฟให้ประเด็นนี้ (คนละไฟกับใน อ.17 นะ) ลุกโชนอยู่ตลอดเวลาด้วย อย่างเร็วๆนี่ก็เป็นเหตุให้เชคอะลีคาน ปาทาน แห่งห้องสมุดอะฮฺลุลหะดีษ วัลอะษาร ตักฟีรใส่ อ.ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ ผู้แปลอัลกุรอานเป็นภาษาไทยคนแรก ตัวละครหลักในประเด็นนี้ว่าเป็นกาเฟรไปเรียบร้อยแล้ว เหตุเพราะกล่าวว่าเป็นพวกลัทธิกอดยานีบ้างละ ไปแปลหนังสือของพวกเขาบ้างละ หรือบิดเบือนอัลกุรอานตามพวกเขาบ้างละ เช่นอายัตที่ 17 ที่ว่า

อยากแสดงความเห็นในเรื่องนี้ให้มากเหมือนกัน แต่เห็นคำเตือนของอาจารย์อีกท่านที่ออกมาโต้เชคริฎอ ซึ่งปกป้อง อ.ดิเรก ว่าถ้าใครจะยกมือปกป้องเชคริฎอแต่ไม่รู้ภาษาอาหรับละก็ให้เงียบๆดีกว่า เป็นเสียอย่างนี้ผมก็เลยต้องนั่งลงพูดเบาๆละครับ แต่ใครเห็นด้วยบ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันมีเรื่องการ ‘ตีความ’ กับ ‘การตัดสิน’ อยู่มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 1.) ตัวอายัตเองที่เปิดให้ตีความ 2.) การตีความ อ.17 ของ อ.ดิเรกใน ‘บะยานุลกุรอาน’ (2496) ซึ่งอันนี้แกอธิบายเอง ต่างจากใน 3.) ‘กุรอานมะญีด’ (พิมพ์หลังบะยานุลฯ ไม่แน่ใจพิมพ์ครั้งแรกเมื่อไร) ซึ่งเล่มนี้ต้องยอมรับว่าแกเสียรู้เพราะไปแปลมาจากกอดยานีจริง รวมถึง 4.) การพยายามชี้แจงแก้ต่างอายัตนี้ให้ อ.ดิเรก ของเชคริฎอเมื่อหลายปีก่อน บนเวทีดิเบตกับ อ.อิสหาก พงษ์มณี ซึ่งกำลังมีกระแสคิดว่าแกไปบิดเบือนคำพูดของอิมามอิบนิกะษีร กลายเป็นประเด็นในทีวีตอนนี้กระทั่งมีการบอกว่า อ.ดิเรกเป็นกาฟิร หรืออาจารย์ท่านอื่นอีกว่าเชคริฎอเป็นชัยฏอน เป็นอะไรสักอย่างที่เลวกว่าดัจญาลอะไรนี่ เป็นผลมาจากการตีความไปมา คิดแทนผู้พูด และตัดสินคนอื่นขณะกำลังโกรธหรือเปล่า กระทั่งไปกล่าวในรายการว่าผู้แปลตัฟซีร ‘ตัฟฮีมุลกุรอาน’ ของ เมาลานา อบุลอะอฺลา อัลเมาดูดี จากอุรดูเป็นภาษาอังกฤษนั้นคือกอดยานีที่ชื่อ อะลี อักบัร ซึ่งที่จริงไม่น่าจะใช่นะครับ อาจารย์น่าจะสลับกับหนังสือศาสดาพยากรณ์ที่เขาเขียนหรือเปล่า เพราะเท่าที่ผมรู้ผู้แปลคือ ดร.เซาะฟัร อิสหาก อันศอรี (Zafar Ishaq Ansari) อุละมาอฺชาวปากีสถานแห่งมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติอิสลามาบัด (IIUI) มากกว่า หรือผมเข้าใจผิดยังไงมาอัฟด้วยครับ

ผมนี่ไม่ใช่ศิษย์เชคริฎอ ถึงขนาดจะไปพูดเอาได้ว่ากำลังปกป้องท่าน ไม่ได้สนิทขนาดนั้น อีกอย่างก็เคยได้ยินเชคพูดว่าไม่ต้องมาปกป้องแก ให้ทำงานๆไป แกปกป้องตัวเองได้ (ประมาณนี้) แต่ผมเห็นด้วยกับแกว่าน่าจะต้องดูให้รอบคอบทั่วโลกไปเลยว่ามันไม่มีจริงๆใช่ไหมที่นักอรรถาธิบายกล่าวว่า ณ ที่ อ.17 นั้น ไม่เสมอไปที่ต้องหมายถึงมุนาฟิก อาจหมายถึงนบีมุฮัมมัดก็ได้ ซึ่งอันนี้ในบยานุลฯ อ.ดิเรกก็ได้แปลและอธิบายไว้ชัดเจน จากนั้นในกุรอานมะญีดที่มาทีหลังแกเลยใส่คำว่า ‘เช่น’ เอาไว้ เพราะมันมีอีกคำแปลอืนที่เป็นไปได้อีก โดยในบะยานุลฯ ท่านก็ได้อธิบายยืดยาวด้วยภาษาที่งดงามตามประสานักเขียนใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งความข้อนี้ผมเห็นว่าควรจะให้ความยุติธรรมสำหรับแกบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ไปตักฟีรว่าเป็นกาฟิรหรือกอดยานี (อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ ยังยกย่องแกมากเลย ลองไปอ่านในงานเขียนของ อ.ดิเรก เรื่อง ‘ความสัมพันธ์ของมุสลิมทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีไทย’ กับ ‘สำเภากษัตริย์สุลัยมาน’)

คือผมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าแกเป็นกอดยานี แม้จะแปลหนังสือมาจากกอดยานี หรือมีการรับรองจากหนังสือของลัทธินี้ว่าเป็นตัวแทนในไทยก็ตาม (ซึ่งการคิดเองเออเองรวมถึงเอารูปถ่ายกับตัวเองมาใช้แอบอ้างนี่ กอดยานีถนัดมาก) ข้อพิสูจน์ก็คืออยู่ในคลิปบรรยายครั้งสำคัญเมื่อปี 2552 โดย เชคริฎอ กับ อ.มุรีด (https://youtu.be/cnV7nWLUazE) ซึ่งผมคิดว่าเป็นบรรยายที่เต็มไปด้วยหลักฐานสำคัญและการเปิดโปงขบวนการที่เริ่มต้นกล่าวหา อ.ดิเรก เป็นกอดยานีที่ดีที่สุด และพูดได้เลยว่าใครไม่เคยดูคลิปนี้เสียให้จบ ไม่ควรมาโต้เถียงเรื่องกอดยานีในเมืองไทยเป็นอันขาด ***เป็นไปได้อย่างไรที่คนแปลหนังสือกอดยานีคนแรกในไทยไม่ใช่ อ.ดิเรก แต่เป็น อ.อับดุลการีม มัสโอดี บรมครูของโต๊ะครูกลุ่มหลักที่โจมตี อ.ดิเรก ว่าเป็นกอดยานีในปัจจุบันซะเอง โดยที่ท่านยังเชื่อด้วยว่า มิรซา ฆูลาม อะฮฺมัด ผู้นำสูงสุดของกอดยานีนั้นเป็นมุญัดดิด (นักฟื้นฟู) แห่งฮิจญฺเราะฮฺที่ 14 ซึ่งเป็นความเชื่อของกอดยานีสาขาลาโฮร์ ของเมาลานา มุฮัมมัด อะลี ผู้เขียนคำแปลอัลกุรอานที่ อ.ดิเรก เสียรู้เอามาแปลอีกทีนั้นเอง ทว่าอีกด้าน อ.ดิเรก กลับปฏิเสธอย่างชัดเจนในวารสารของยมท.ปี 2516 กับวารสารอัลฮุดาของตัวเองเมื่อปี 2533 ว่าไม่เคยเชื่อว่ามิรซาฆูลาม อะฮฺมัด เป็นนบีคนที่ 16 (ความเชื่อสาขากอดยาน) หรือเป็นมุญัดดิดแห่ง ฮ.ศ.14 (ความเชื่อสาขาลาโฮรี) ข้างต้นไม่มีคำตอบหรือคำชี้แจงใดๆเลยจากโต๊ะครูกลุ่มที่ว่า มีเพียงความเงียบงัน เอาคดีใหม่มาทบคดีเก่าอยู่เรื่อย แต่กลับกันเชคริฎอ กับ อ.มุรีด ได้ให้คำตอบไปแล้วในการบรรยายตอนนั้นว่าไม่ว่าจะเป็นการแปลของบรมครูท่านที่ว่า (ซึ่งเป็นญาติเชคริฎอด้วย) หรือ อ.ดิเรก ก็ตาม ล้วนกระทำไปด้วยความไม่รู้แทบทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องของความพยายามขวนขวายหาหนังสือนอกมาแปลของโต๊ะครูสองคนในอดีตเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ศาสนาในวงกว้าง (ซึ่งตอนนั้นโลกยังไม่รู้อันตรายของกอดยานี) สมัยนั้นแม้แต่ นิตยสาร The Islamic Review ของกอดยานี คนมุสลิมก็อ่านกันทั่วโลกละครับ มาถึงยุคสมัยที่เริ่มมีอินเทอเน็ตกระมัง ที่อุละมาอฺปากีสถานฟัตวาว่ากลุ่มๆนี้มิใช่มุสลิม โดยมีโต้โผหลักอย่างชัยคฺ อิหฺสาน อิลาฮี เซาะฮีร กับ เมาลานา อบุลอะอฺลา อัลเมาดูดี เป็นผู้เปิดโปงความปลิ้นปล้อนของลัทธินี้อย่างหนัก จนโลกมุสลิมได้กระจ่างชัดตามมาด้วยความผิดหลายประการ เช่น มิรซา ฆูลาม อะฮฺมัด มาเปิดเผยตนตอนหลังว่าเป็นนบีคนที่ 26 เคยคุยกับอัลลอฮฺเป็นภาษาอังกฤษ และอื่นๆที่หาอ่านได้ในหนังสือ ‘ทำไมโลกมุสลิมจึงร่วมประณามลัทธิกอดยานี’ ที่ อ.มุรีด ได้เขียนไว้ ทั้งหมดนี้เราไม่มองกัน คือไม่อยากมองพี่น้องตัวเองในแง่ดีกันเลย เรามุ่งแต่จะโยน อ.ดิเรก ลงนรกท่าเดียว ไม่เว้นแม้แต่คนที่ออกมาปกป้อง อ.ดิเรก ก็โดนข้อหาไปด้วย นี่เอง ก่อนจะเกลียด อ.ดิเรก ก็ลองไปฟังการชี้แจงของฝ่ายที่ปกป้องท่านดูบ้างเสียก่อนจะเป็นไรไป

อ.17 ก็เช่นกัน ในตัฟซีร ‘อัลฟุรกอน’ (ฉบับที่ผมมีคือพิมพ์ปี ค.ศ.1988) ของ ไคย์ อะเยาะฮฺ หะสัน หรือ A.Hassan หรือ Hassan Bandung อุละมาอฺคนสำคัญของอินโดเนเซียในอดีต ก็ตีความอายัตนี้ไปในทำนองผู้ที่จุดไฟหรือนำความสว่างมา ว่าเป็นนบีมุฮัมมัดเช่นกัน อีกทั้งเมื่อเทียบกับคำอธิบายของ อ.ดิเรก ในบะยานุลฯ ก็แอบเหมือนอยู่ในที ดังนี้

“สภาพของเหล่ากาฟิรกับมุนาฟิกต่ออัลกุรอานที่นำมาโดยท่านบีนั้น หากจะอุปมาอุปไมยกันแล้ว, อัลกุรอานก็ประหนึ่งดวงไฟหรือคบไฟซึ่งนำมาโดยท่านนบี เพื่อจะมอบแสงสว่างแก่ชนเหล่านั้น ทว่าขณะที่ดวงไฟมันส่องแสงแก่พวกเขานั่นเอง พวกเขาก็หลับตาไม่ยอมมองแสงสว่างนั้น เช่นนี้เองอัลลอฮฺจึงดับแสงสว่างนั้นเสีย และทิ้งพวกเขาไว้ในความมืดมิด ไม่เห็นอะไรอีกเลย.” (กรอบแดงในภาพประกอบ, หน้า 5 ฟุตโน้ตที่ 18)

แบบนี้จะว่าอย่างไร ไคย์ อะเยาะฮฺ หะสัน จะเป็นกอดยานี หรือ อิควาน?

ครับ เราอาจจะบอกว่าแกเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่กิบารอุละมาอฺ หรือจะใช้บรรทัดฐานเป็น-ไม่เป็นสะละฟีเพื่อตัดสินทุกอย่างในจักรวาล จนได้ว่าแกไม่ถึงระดับสะละฟี งานที่เขียนก็มีค่าไม่พอจะให้อ้างก็ตาม แต่ประเด็นคืออุละมาอฺสุนนะฮฺในอดีตที่มีอิทธิพลสูงในเอเชียอาคเนย์คนนี้ คนอินโดเนเซีย มาเลเซีย หรือสิงคโปร์คนไหนบ้าง เอาการตีความอายัตนี้ของท่านมาบอกว่าเป็นกอดยานีหรือบิดเบือนอัลกุรอาน…ไม่มีหรอกครับ ทุกวันนี้องค์กรดะอฺวะฮฺที่ท่านก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1920, Persatuan Islam (PERSIS) ได้รับการยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นองค์กรศาสนาที่ดะอฺวะฮฺในแนวทางอัลกุรอานและอัลหะดีษ ควบคู่ Muhammadiyah ของ ไคย์ อะฮฺมัด ดะฮฺลัน เลยทีเดียว ความข้อนี้ หรืออย่างน้อยกับอายัตนี้ เราจะยังจะไม่ให้ความยุติธรรมแก่ อ.ดิเรก อีกละหรือ

สุดท้าย อ่านถึงนี้แล้วยังคิดว่า อ.ดิเรก กับ เชคริฏอ บิดเบือนอัลกุรอานกันอีกไหม (สถานะเนกาทีฟสุดๆต่างๆที่ อ.ดิเรก กับ เชคริฎอ โดนจะได้ตกไปซะที) มันเป็นเพียงเรื่องปกติของอายัตที่ต้องตีความเท่านั้นเอง ก็คงจะเหลือข้อหาของเชคริฏอที่ว่าบิดเบือนข้อเขียนของอิมามอิบนิกะษีร ซึ่งเรื่องนี้ บางคนอาจจะบอกว่ายังไงๆเราก็คิดแบบนี้..ยังไงเชคก็บิดเบือน รึจะบอกว่าลอกความคิดอาจารย์ตัวเองมาก็ได้ครับตรงดี คือคิดเหมือนกันทั้งกลุ่ม แต่ดีที่ผมไม่มีอาจารย์ให้กลัวเกรงหรือยึดเกาะขนาดนั้น ผมควรจะพยายามคิดเองซะบ้าง จึงเห็นด้วยที่เชคพูดไม่ชัดเจนขณะชี้แจงอายัตนี้ (เฉพาะช่วงที่อ้างเนื้อหาในหนังสือของอิมามอิบนิกะษีร) ซึ่งเวลานั้นก็คงไม่มีใครคิดว่าไม่ชัดเจนหรอก ยุคเรานี่แหละ เอามาชำแหละคิดนั่นคิดนี้ต่อ คือผมพยายามมองในแง่ดีไว้ครับ ด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า จะบิดเบือนทั้งทีทำไมเชคถึงได้ฉายหน้าหนังสือแช่ไว้บนจอโปรเจคเตอร์ตั้งนานสองนานให้ผู้ฟังบรรยายดู? แล้วคำว่า ‘ลิลมุนาฟิก’ จะบอกว่าเชคตั้งใจตัดออกหรืออ่านข้าม ก็น่าขำไปนะครับ ในห้องบรรยายวันนั้น ไม่มีใครอ่านคำว่ามุนาฟิกออกเลยหรอ? อีกทั้งตามปกติเวลาอาจารย์อ่านอะไรบนกระดาน สายตาผู้เรียนมันก็ไล่ไปตามข้อความที่อาจารย์อ่านนั่นละครับ หรือจะบอกว่าในห้องนั้นไม่มีคนรู้ภาษาอาหรับแม้สักคนเดียว? ที่สำคัญมากๆ คำว่าลิลมุนาฟิกในประโยคนั้น มันไม่ได้หมายถึง ‘ผู้จุดไฟคือมุนาฟิก’ เลยแม้แต่น้อย แต่อิมามอิบนิกะษีรหมายความว่าในตอนต้นสูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺนั้น อัลลอฮฺได้ยกอุทาหรณ์เพื่อ ‘กล่าวถึงมุนาฟิก’ ไว้สองอุทาหรณ์ (ซึ่งก็ถูกแล้ว)… นั่นเองครับ จึงน่าสังเกตว่าผู้ที่พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนเข้าใจว่าลิลมุนาฟิกในที่นี่หมายถึงผู้จุดไฟคือมุนาฟิกนั้น มีเจตนาอะไรหรือไม่? ส่วนที่ว่าเชคอ้างอิมามอิบนิกะษีรพูดทั้งที่ไม่ได้พูด จุดนี้ผมฟังยังไง ก็ยังเข้าใจว่าเชคบอกว่าอิมามยกหะดีษมาอยู่ดี ส่วนที่ว่าผมเอียงเข้าข้างเชคหรือเปล่านั้น ถ้าจะเอียงก็เห็นจะเอียงสัก 30 องศาเท่านั้นแหละ

เป็นเรื่องน่าเบื่อนะครับที่ต้องมาพูดเรื่องพวกนี้อีก ผมเข้าใจเชคเลย เป็นผม ถ้ามีคนมาถามในทีวีผมก็ไม่อยากตอบเหมือนกัน มันเหมือนเรายอมให้คนยืมเงินครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่เขาค้างจ่ายมาหลายรอบ ทว่าพอถึงขีดสุดเราไม่ให้อีกแล้วเลยถูกถามว่าทำไมไม่ให้ยืมแล้วนั่นละครับ พฤติกรรมที่ผ่านมาของคนพวกนี้ มันเพียงพอแล้วที่ผมจะไม่พูด ไม่ตอบคำถามที่มาจากพวกเขาอีก

การบิดเบือนอัลกุรอานนี่ร้ายแรงก็จริง แต่การกล่าวหาอย่างมั่นใจว่าใครต่อใครบิดเบือนอัลกุรอานนี่ก็ร้ายแรงพอกันไหมครับ ขอให้ผมและทุกท่านห่างไกลจากสิ่งนี้

ด้วยความเคารพในตัว อ.ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์
หมีมลายู
13/11/58

002

003
(อ.ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ ในรายการกระจกหกด้าน ตอน อัลกุรอาน (ไม่ทราบปีออกอากาศ)

004
(ไคย์ อะเยาะฮฺ หะสัน หรือ KH. Hassan Bandung
)

005
ดร.เซาะฟัร อิสหาก อันศอรี (คนที่สองจากขวา) ผู้แปลตัฟฮีมุลกุรอานของ เมาลานา อบุลอะอฺลา อัลเมาดูดี เป็นภาษาอังกฤษ

กินเลี้ยงบ้านคนตาย‬ และการฉวยโอกาสของโต๊ะครู‬

1121212

ที่มาที่ไปที่ต้องขุดเรื่องนี้มากล่าวอีกครั้งก็คือหนึ่ง ผู้เขียนเพิ่งขับรถกับหลานผ่านงานศพของต่างศาสนิกซึ่งกำลังจัดงานกินเลี้ยงบ้านคนตาย แล้วเด็กก็ถามว่าทำไมงานศพเขาเลี้ยงข้าวด้วย? และสอง ไม่นานมานี้ บังเอิญไปเห็นโพสต์ของคุณ Ahmadrashidi Al Ashari ที่บอกว่ากินเลี้ยงบ้านคนตายนั้นเป็นแบบอย่างของท่านนบี? ครับ, คิดว่าเรื่องนี้ยังมีคนไม่รู้อีกมาก หรือที่รู้ว่าทำไม่ได้ก็ถกเถียงไม่ถูก ต่อไปนี้ เวลาเห็นคนศาสนาอื่นเขากินเลี้ยงบ้านคนตาย แล้วดันมีโต๊ะครูบอกว่าถึงจะตรงกับศาสนาอื่นแต่เรามีหลักฐานให้ทำ? จะได้อธิบายได้ถูกนะครับ

ก่อนอื่นให้เราอ่านหะดีษเศาะหีหฺสองบทนี้กันก่อน

1.) เมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของท่านญะอฺฟัร มาถึงท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ท่านก็กล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของญะอฺฟัรเถิด เพราะพวกเขามีสิ่งที่ต้องง่วนกันอยู่” (บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด ในมุสนัดของท่าน (1/205), อิมาม อบูดาวุด ในสุนันของท่าน (3/497) ในบทว่าด้วยพิธีศพ เลขหะดีษ 3132, อิมาม อัตติรมิซี ในสุนันของท่าน (2/234) ในบทว่าด้วยพิธีศพ เลขหะดีษ 1003 โดยท่านกล่าวว่านี้เป็นหะดีษหะสัน, อิมาม อิบนิมาญะฮฺ ในสุนันของท่าน (1/514) ในบทว่าด้วยพิธีศพ เลขหะดีษ 1610 และ ท่าน อัลหากิม ใน ‘อัลมุสตัดรอก’ (1/372) ในบทว่าด้วยพิธีศพ…)

2.) ท่านญะรีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ อัลบะญะลี (ร.ฎ.) (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.51) กล่าวว่า “พวกเรา (เศาะหาบะฮฺ) ถือว่าการไปชุมนุมกันที่บ้านผู้ตาย และทำอาหารเลี้ยงกันหลังจากการฝังมัยยิตเสร็จแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของนิยาหะฮฺ (การแสดงออกถึงความเศร้าโศกอย่างรุนแรงเกินพอดี ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามตามหลักการศาสนา)” (บันทึกโดยอิมามอะฮฺมัด หะดีษที่ 6905 จากการตรวจทานของมุหัดดิษ ท่านอะฮฺมัด ชากิรฺ, และอิมามอิบนุมาญะฮฺ หะดีษที่ 1612 บทว่าด้วย ‘ห้ามการร่วมชุมนุมกันที่บ้านของผู้ตาย และทำอาหาร (ที่บ้านผู้ตาย)’ ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง ดังการรับรองของอิมามนะวะวี ในหนังสือ ‘อัลมัจญมั๊วะอฺ’ เล่ม 5 หน้า 320)

ครับ, ว่ากันว่าสิ่งที่ต้องระวังหากจะอ้างหะดีษนบีก็คือ 1-) ความถูกต้อง 2.) ความซื่อสัตย์ แต่การเป็นมุหัดดิษหรือนักตรวจสอบหะดีษสักคนนั้นไม่ง่าย โต๊ะครูหลายคนเลยชอบมักง่ายและฉวยเอามาใช้ประโยชน์ต่อสาธารณะชนเพื่อบรรลุถึง ‘ความต้องการของตัวเอง’ อยู่บ่อยครั้ง บังเอิญผู้เขียนได้ไปเห็นการอ้างหะดีษเรื่อง ‘กินเลี้ยงบ้านคนตาย’ ของคุณ Ahmadrashidi Al Ashari จริงๆ ผู้เขียนไม่รู้ว่าแกเป็นใคร โต๊ะครู? นักศึกษาศาสนา? แต่ยังไงก็ตาม เห็นว่ามีคนติดตามแกเยอะ ก็น่าจะมีอิทธิพลมากทีเดียว ถ้าแกทำถูกคนมากมายก็ได้ดี แต่ถ้าแกทำผิดคนมากมายก็แย่ไปด้วยนะครับ ประเด็นในกระทู้ของแกอันนี้ก็มีหลายข้อครับ และมีลักษณะชักแม่น้ำทั้งห้ามาผสมปนเปมั่วไปหมดด้วย แต่จะเอาตามหัวข้อละกันก็คือเรื่องกินเลี้ยงบ้านคนตาย

เริ่มกันเลยนะ คือคุณ Ahmadrashidi ได้อ้างว่ามีหะดีษที่เป็นหลักฐานว่ากินเลี้ยงบ้านคนตายนั้นไม่ใช่ ‘อุตริกรรมทางศาสนา’ แต่เป็น ‘แบบอย่างของนบี’ ครับ แล้วแกก็ยกหะดีษต้นนี้มา (ผู้เขียนขออนุญาตทับศัพท์อาหรับใหม่ทั้งหมด)

(เริ่มการอ้าง)…ได้มีหะดิษที่สืบสายรายงานที่เศาะหีหฺ ได้รายงานจากท่าน อาศิม บิน กุลัยบฺ จากบิดาของเขา จากผู้ชายคนหนึ่งจากชาวอันศอร กล่าวว่า “เราได้ออกไปพร้อมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ในญะนาซะฮฺ (คนเสียชีวิตคน) หนึ่ง ดังนั้น ฉันได้เห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺ อยู่ที่กุบูรโดยกำลังกล่าวกำชับกับผู้ขุดหลุมว่า “ท่านจงขุดช่วงสองเท้าของมัยยิตให้กว้างหน่อย และท่านจงขุดหลุมช่วงศรีษะของมัยยิตให้กว้างหน่อย” ดังนั้น ขณะที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้เดินทางกลับ ผู้เชิญชวนจาก (เจ้าภาพ) ของภรรยามัยยิต ได้เชิญกับท่านเราะสูล (ไปรับประทานอาหาร) ดังนั้น ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ก็ทรงตอบรับคำเชิญ โดยที่พวกเราก็อยู่พร้อมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ แล้วอาหารก็ถูกนำมาเสริฟ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ จึงได้ยื่นมือไปรับประทานและบรรดากล่มผู้คน (เศาะหาบะฮฺ) ก็ยื่นมือไป แล้วพวกเขาทำการรับประทาอาหาร… (จนจบหะดีษ)” หะดิษนี้เศาะหีหฺ ซึ่งรายงานโดย ท่านอิมามอบูดาวูดและท่านอัลบัยหะกี รายงานไว้ใน ‘ดะลาอิล อันนุบูวะฮฺ, อ้างจากหนังสือ (หะดิษ) ‘มิชกาตุล มะศอบีหฺ’ เล่ม 3 หน้า 194 ของอิมามอัตติบรีซี ตีพิมพ์ อัลมักตับ อัลอิสลามี… (จบการอ้าง)

///วิเคราะห์และพิสูจน์หะดีษให้ถูกต้อง
ผู้เขียนจะขอยกการวิเคราะห์ของ ครูมะฮฺมูด ศรีอุทัย ใน ‘วิเคราะห์หลักฐานเรื่องการกินเลี้ยงบ้านผู้ตาย’ มาแล้วกันนะครับ คือหะดีษบทนี้เป็นที่นิยมมากครับ สำหรับผู้นิยมกินเลี้ยงบ้านผู้ตาย แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่านี่เป็นการฉวยโอกาสครั้งสำคัญของเหล่าโต๊ะครู ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าของค่านิยมบางประการในสังคมมุสลิมบางแห่งเลยทีเดียว เพราะหากเราตามฉบับภาษาอาหรับของหะดีษบทนี้ที่คุณ Ahmadrashidi ยกมานั้น ข้อความที่ว่า “ผู้เชิญชวนจาก (เจ้าภาพ) ของภรรยามัยยิต” ในฉบับภาษาอาหรับจากหนังสือ ‘มิชกาตุล มะศอบีหฺ’ ของอิมามอัตติบรีซี คือ إِسْتَقْبَلَهُ دَاعِى امْرَأَتِهِ นั้นมีปัญหาอยู่ครับ โดยมีการตรวจพบว่าสรรพนาม هِ ที่หมายถึง ‘ของเขา’ นั้น ได้ถูกนำมาเติมหลังคำว่า امْرَأَتِ ที่แปลว่า ‘ผู้หญิง’ ในตอนหลัง ทำให้แปลทั้งหมดได้ว่า ‘ผู้หญิงของเขา (ผู้ตาย)” แต่สำนวนที่คุณ Ahmadrashidi ยกมาก็เหนือกว่านั้น เพราะไปแปลให้เป็น ‘ภรรยามัยยิต’ ให้ชัดๆไปเลย ซึ่งนับว่ากล้ามากนะครับ, แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะแปลเป็น ‘ผู้หญิงของเขา’ หรือ ‘ภรรยาของมัยยิต’ ก็สื่อไปในทางเดียวกันคือ ความพยายามในการบิดเบือน และเสริมแต่งข้อความให้เป็นไปตามนัฟซูของพวกโต๊ะครูบางคน (หากเขาตั้งใจ) ให้กลายเป็นภรรยาของผู้ตายมาชวนท่านนบีให้ไปกินข้าวที่บ้าน ซึ่งเป็นข้อความที่ผิด.. ข้อความที่ถูกต้องจริงๆนั้นมีเพียงคำว่า إِمْرَأَةٍ ซึ่งแปลว่า ‘ผู้หญิงคนหนึ่ง’ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งตามนัยนี้สาระในข้อความที่ถูกต้องจึงมีความหมายแต่เพียงว่า ‘ผู้หญิงคนหนึ่งให้คนมาชวนท่านนบีไปทานอาหารที่บ้าน’ โดยที่ผู้หญิงคนดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ตายเลย

ที่นี่มาพิสูจน์ข้ออ้างกันครับ ประการแรกเราต้องรู้ก่อนว่า–หะดีษต้นนี้ อิมามอัตติบรีซี ผู้เขียนหนังสือ ‘มิชกาตุล มะศอบีหฺ’ ไม่ใช่ผู้เดียวที่บันทึกหะดีษนี้แล้วคุณ Ahmadrashidi หรือ อาจารย์ของเขา คุณอารีฟีน แสงวิมาน นำมาใช้ประโยชน์ โดยจะเห็นว่าอิมามอัตติบรีซี ท่านได้อ้างในตอนท้ายหะดีษอีกทีว่า คัดลอกมาจาก ‘อัส-สุนัน’ ของอิมามอบูดาวุด และ ‘ดะลาอิล อันนุบุวะฮฺ ของอิมามอัลบัยหะกี ซึ่งเราก็ต้องตามไปดูในหนังสือสองเล่มนี้ครับ ประการที่สองก็คือ–ไม่ใช่เพียงหนังสือของอิมามอบูดาวุดกับอิมามอัลบัยหะกี เท่านั้น ยังมีอีกรวมแล้ว 4 ท่าน ที่อ้างหะดีษนี้ไว้เช่นกันดังนี้

– อิมามอบูดาวูด ในหนังสือ ‘อัสสุนัน’ หะดีษที่ 3332
– อิมามอัลบัยฮะกี ในหนังสือ ‘ดะลาอิลุ นุบูวะฮฺ’ เล่ม 6 หน้า 310, สนพ.ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ, เบรุต
– อิมามอะฮฺมัด ในหนังสือ ‘อัลมุสนัด’ เล่ม 5 หน้า 293
– อิมามอัดดารุกุฏนี ในหนังสือ ‘อัสสุนัน’ เล่ม 4 หน้า 286

อีกทั้งยังมีอีก 5-6 เล่มที่อยู่ในหนังสือสถานะเดียวกันกับ ‘มิชกาตุล มะศอบีหฺ’ ของอิมามอัตติบรีซี ซึ่งล้วน ‘คัดลอก’ มาจากหนังสือ (ที่มาก่อน) ทั้ง 4 เล่มนี้ทั้งสิ้น และที่สำคัญมากๆก็คือ ทั้งหนังสือต้นหะดีษทั้งสี่และอีก 5-6 เล่มที่คัดลอกตามมา ไม่ปรากฏว่ามีสรรพนาม هِ ซึ่งแปลว่า ‘ของเขา’ อยู่เลยสักเล่มเดียว ซ้ำในบันทึกของอิมามอะฮฺมัด ยังมีข้อความขยายให้อีกด้วยซ้ำว่า “ผู้หญิงชาวกุเรชคนหนึ่ง ให้คนมาเชิญท่านนบีไป…” ครูมะฮฺมูด ศรีอุทัย ผู้วิเคราะห์หะดีษนี้จึงกล่าวว่า เป็นไปได้ว่าเป็นความผิดพลาดในขั้นตอนการพิมพ์นั่นเอง แล้วโต๊ะครูบางส่วนก็ฉวยโอกาสจากความผิดพลาดนี้ มาสนองนัฟซูตัวเอง เพราะอิมามอัตติบรีซีก็บริสุทธิ์ใจโดยอ้างที่มาอยู่แล้วนั่นเอง

และนอกจากหะดีษข้างต้นที่รายงานโดยท่าน อาศิม บิน กุลัยบฺ แล้ว ยังมีอีกสองหะดีษ ที่นิยมนำมาอ้างอิงกันในหมู่โต๊ะครูผู้นิยมกินเลี้ยงบ้านคนตาย คือหะดีษที่รายงานโดยท่าน อะหฺนัฟ บิน ก็อยซฺ และ หะดีษที่รายงานโดยท่าน ฏอวูส บิน กัยซาน ซึ่งล้วนแต่เป็นหะดีษเฎาะอีฟ ไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งบรรดาอุละมาอฺในสมัยก่อนก็ไม่มีใครใคร่จะยกมาสนองตัณหาในเรื่องนี้กันหรอก จะมีก็แต่ในยุคสมัยของเรานี่แหละ (ซึ่งผู้เขียนจะไม่นำมาวิเคราะห์ที่นี่)

///อยากเป็นโต๊ะครูต้องซื่อสัตย์
หากเราซื่อสัตย์ในการนำเสนอ ‘ความรู้’ และ ‘การตัดสิน’ ของบรรดาอุละมาอฺแล้ว เราก็ควรนำเสนอให้ครอบคลุม ยิ่งทัศนะที่มาจากกลุ่มอุละมาอฺในสี่มัซฮับหรือสำนักคิดทางนิติศาสตร์อิสลามที่ได้รับการยอมรับด้วยแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะหนี หากต้องการรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดๆที่เป็นปัญหาอยู่ และอย่าให้มายาคติของการเชื่อฟังโต๊ะครูมาบังหน้าเลย หลายเรื่องเราคิด ค้นคว้า และศึกษาเองได้ครับ

เรื่องกินบุญบ้านคนตายหากเราไม่อคติต่อคำว่า ‘วะฮาบี’ อันเป็นนิยายปรัมปราใส่ร้ายของมุสลิมกลุ่มหนึ่งต่อมุสลิมอีกกลุ่มที่พยายามเอาศาสนากลับไปยังความบริสุทธิ์ซึ่งหมายรวมถึงการบริสุทธิ์หรือปลอดภัยในเรื่องกินเลี้ยงบ้านคนตายด้วยแล้ว เราก็จะพบได้ว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรยากเลย ซึ่งครูมะฮฺมูด ศรีอุทัย ได้ยกทัศนะของอุละมาอฺจากสี่มัซฮับมาดังนี้

–มัซฮับหะนะฟี
1.) อิมามอัลกุรฏุบี (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.671) ได้กล่าวในหนังสือ ‘อัตตัซกิเราะฮฺ’ หน้า 102 ว่า “และส่วนหนึ่งจากพฤติกรรมของพวกญะฮิลียะฮฺ (พวกอนารยชนยุคก่อนอิสลาม) ก็คือ เรื่องอาหารซึ่งลูกเมียผู้ตายในสมัยปัจจุบัน ได้ปรุงขึ้นมาในวันที่ 7 (หรือวันที่ 3, วันที่ 10, วันที่ 40, หรือครบ 100 วันแห่งการตาย) แล้วผู้คนก็มาชุมนุมกินอาหารนั้นโดยมีจุดประสงค์เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายและแสดงความเมตตาต่อผู้ตาย นี่คืออุตริกรรมทางศาสนา (บิดอะฮฺ) ที่ไม่เคยปรากฏในยุคที่ผ่านมา และก็มิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่นักวิชาการยกย่องสรรเสริญแต่อย่างใด, บรรดานักวิชาการกล่าวว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่มุสลิมเราจะไปเลียนแบบคนต่างศาสนา และสมควรที่มนุษย์ทุกคนจะต้องห้ามปรามลูกเมียของเขาจากการไปร่วมในงานประเภทนี้… ท่านอิมามอะฮฺมัด บิน หัมบัล ก็กล่าวว่า ‘นี่คือพฤติกรรมของพวกญาฮิลียะฮฺ’ จึงมีผู้ท้วงติงท่านว่า ‘ก็ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวไว้มิใช่หรือว่าให้พวกท่านทำอาหารไปให้ครอบครัวของญะอฺฟัรฺ’ ท่านอิมามอะฮฺมัดจึงตอบว่า ‘(คำสั่งนั้น) ไม่ใช่ให้พวกเขา (ครอบครัวผู้ตาย) ทำอาหาร (เลี้ยงพวกเรา) แต่ให้ (พวกเรา) ทำอาหารไปเลี้ยงพวกเขาต่างหาก, …ทั้งหมดนี้ คือสิ่งวาญิบสำหรับผู้ชายจะต้องห้ามปรามลูกเมียของเขาจากการกระทำมัน และหากผู้ใดผ่อนผันเรื่องนี้แก่ลูกเมียของเขา แน่นอนเขาคือผู้ทรยศต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรและยิ่งใหญ่ ทั้งยังเป็นการสนับสนุนลูกเมียให้ทำบาปและการเป็นศัตรูกัน…”

2.) ท่านอิบนุลฮุมาม ได้กล่าวในหนังสือ ‘ชัรฺหุล ฮิดายะฮฺ’ ว่า “เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่จะให้ครอบครัวผู้ตายเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหาร เพราะการเลี้ยงอาหารนั้น เป็นบทบัญญัติในกรณีที่มีความสุข (เช่นตอนแต่งงาน, ตอนมีบุตร, เป็นต้น) มิใช่เป็นบทบัญญัติในยามทุกข์ (เช่น ตอนพ่อแม่หรือลูกเมียตาย เป็นต้น)… มันจึงเป็นเรื่องบิดอะฮ์ที่น่าเกลียด …” (อ้างจากหนังสือ ‘กัชฟุช ชุบฮาต’ ของท่านมะฮฺมูด หะซัน รอเบี๊ยะอฺ หน้า 192)

–มัซฮับมาลิกี
1.) ท่านอิมามอบูบักรฺ อัฏฏ็อรฺฏุชี (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.530) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ‘อัลหะวาดิษ วัลบิดะอฺ’ หน้า 170 ว่า “อนึ่ง การที่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้น และเชิญชวนให้คนมากินอาหารนั้น เรื่องนี้ไม่ปรากฏมีรายงานมาจากประชาชนยุคก่อนๆแต่อย่างใด และในทัศนะของฉัน มันเป็นเรื่องบิดอะฮฺ และเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ”

–มัซฮับชาฟิอี
1.) อิมาม อัชชาฟิอี กล่าวว่า “ฉันชอบให้เพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตหรือผู้เป็นเครือญาติของผู้เสียชีวิตทำอาหารให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อิ่มในวันและค่ำคืนที่เขาเสียชีวิตลง เพราะแท้จริงสิ่งดังกล่าวเป็นแบบอย่างของท่านนบีและเป็นการรำลึกที่ประเสริฐ และเป็นการปฏิบัติของเหล่าชนแห่งความดีทั้งก่อนและหลังพวกเรา ทั้งนี้เพราะเมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของท่านญะอฺฟัร มาถึงท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ท่านก็กล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของญะอฺฟัรเถิด เพราะพวกเขามีสิ่งที่ต้องง่วนกันอยู่” (บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด ในมุสนัดของท่าน (1/205), อิมาม อบูดาวุด ในสุนันของท่าน (3/497) ในบทว่าด้วยพิธีศพ เลขหะดีษ 3132, อิมาม อัตติรมิซี ในสุนันของท่าน (2/234) ในบทว่าด้วยพิธีศพ เลขหะดีษ 1003 โดยท่านกล่าวว่านี้เป็นหะดีษหะสัน, อิมาม อิบนิมาญะฮฺ ในสุนันของท่าน (1/514) ในบทว่าด้วยพิธีศพ เลขหะดีษ 1610 และ ท่าน อัลหากิม ใน ‘อัลมุสตัดรอก’ (1/372) ในบทว่าด้วยพิธีศพ โดยท่านกล่าวว่า “หะดีษนี้มีสายรายงานที่ถูกต้อง แม้อิมาม บุคอรี กับ อิมาม มุสลิม ไมได้บันทึกไว้ก็ตาม, โดยชัยคุลมุหัดดีษ อิมาม อัซซะฮาบี ก็เห็นพ้องกันกับท่าน อัลหากิม ในหนังสือ ‘ตัลคีส มุสตัดรอก’” (จากตำราเมาซูอะฮฺ อัลอิมาม อัชชาฟิอี ; อัลกิตาบอัลอุมฺม์ ; ดารฺกุตัยบะฮฺ เล่มที่ 3 หน้า 416-417 หนังสือตุหฺฟะตุล อะหฺวะซี เล่ม 4 หน้า 38 และหนังสือ มิรฺกอตุลมะฟาตีหฺ เล่ม 4 หน้า 223)

2.) อิมามนะวะวี (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.676) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ‘อัลมัจญมั๊วะอฺ’ เล่มที่ 5 หน้า 320 ว่า “เจ้าของหนังสือ ‘อัชชามิล’ (มีชื่อว่า อบูนัศรฺ มะฮฺมูด บิน อัลฟัฎลฺ อัลอิศบะฮานี, มีชื่อรองว่า อิบนุ ศ็อบบาค เป็นชาวเมืองอิศฟาฮาน, สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.512) และนักวิชาการท่านอื่นๆกล่าวว่า อนึ่ง การที่ครอบครัวผู้ตายได้จัดปรุงอาหารขึ้น และเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมรับประทานกัน พฤติกรรมนี้ไม่เคยปรากฏมีรายงานหลักฐานมาแต่ประการใด ดังนั้น มันจึงเป็นบิดอะฮฺที่ไม่ชอบตามหลักการศาสนา”

3.) อิมามอิบนุหะญัรฺ อัลฮัยตะมี (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.974) ได้กล่าวในหนังสือ ‘ตุหฺฟะตุล มุหฺตาจญฺ” ว่า “สิ่งซึ่งปฏิบัติกันมาจนกลายเป็นประเพณีไปแล้ว… อันได้แก่การที่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้นมา เพื่อเชิญให้ผู้คนมาร่วมรับประทานนั้น มันคือบิดอะฮฺที่น่ารังเกียจ เช่นเดียวกับการตอบรับคำเชิญชวนไปร่วมในงานเลี้ยงนี้ (ก็เป็นบิดอะฮฺที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกัน)” (อ้างจากหนังสือ ‘อิอานะฮฺ อัฏฏอลิบีน’ เล่ม 2 หน้า 146)

4.) ชัยคฺ อะฮฺมัด บิน ซัยนี ดะหฺลาน อดีตผู้พิพากษาของมัษฮับชาฟิอีแห่งนครมักกะฮฺ ได้กล่าวตอบเมื่อมีผู้ถามปัญหาเรื่องการเลี้ยงอาหารบ้านผู้ตายว่า “ใช่, สิ่งซึ่งประชาชนกำลังกระทำกัน อันได้แก่การไปชุมนุมกัน ณ ครอบครัวผู้ตาย และมีการปรุงอาหาร (เพื่อเลี้ยงดูกัน) ถือว่าเป็นหนึ่งจากบิดอะฮฺต้องห้าม ซึ่งผู้นำที่ต่อต้านเรื่องนี้ จะได้รับผลบุญตอบแทน” ท่านยังกล่าวอีกว่า “และไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่า การห้ามปรามประชาชนจาก (การกระทำ) สิ่งบิดอะฮฺต้องห้ามอย่างนี้ คือการฟื้นฟูซุนนะฮฺและเป็นการทำลายบิดอะฮฺ และยังเป็นการเปิดประตูแห่งความดีอย่างมากมาย และเป็นการปิดประตูแห่งความชั่วอย่างมากมาย เพราะว่าประชาชนต่างก็ทุ่มเท (ในเรื่องนี้) กันอย่างหนัก จนการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ต้องห้ามได้” (จากหนังสือ ‘อิอานะฮฺ อัฏฏอลิบีน’ เล่ม 2 หน้า 145-146)

–มัซฮับหัมบาลี
1.) อิมามอะฮฺมัดกล่าวว่า “มัน (การให้บ้านผู้ตายเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารแขก) เป็นพฤติการณ์ของพวกญะฮิลียะฮฺ” และท่านจะต่อต้านมันอย่างรุนแรง (อ้างจากหนังสือ ‘อัลมันฮัล อัลอัษบุลเมารูดฯ’ เล่ม 4 ส่วนที่ 8 หน้า 273)

2.) อิมาม อิบนุ กุดามะฮฺ ได้กล่าวในหนังสือ ‘อัลมุฆนี’ เล่ม 2 หน้า 413 ว่า “อนึ่ง การที่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้นมาให้ประชาชน (รับประทาน) กันนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ เนื่องจากมันเป็นการซ้ำเติมเคราะห์กรรมของพวกเขามากยิ่งขึ้น ซ้ำยังเป็นการเพิ่มภาระพวกเขาซึ่งหนักอยู่แล้วให้หนักเข้าไปอีก และยังเป็นการลอกเลียนการกระทำของพวกญะฮิลียะฮฺอีกด้วย, มีรายงานอีกว่า ท่านญะรีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ อัลบะญะลี (ร.ฎ.) ได้มาหาท่านอุมัรฺ (อิบนุล ค็อฏฏอบ (ร.ฎ.)) แล้วท่านอุมัรฺก็ถามว่า ‘เคยมีการนิยาหะฮฺ (คร่ำครวญอย่างหนัก) ให้แก่ผู้ตายของพวกท่านบ้างไหม? ท่านญะรีรฺตอบว่า ‘ไม่เคยครับ’ ท่านอุมัรฺก็ถามต่อไปอีกว่า ‘แล้วเคยมีการไปชุมนุมกันที่บ้าน/ครอบครัวผู้ตาย และมีการปรุงอาหารเลี้ยงกันไหม? ท่านญะรีรฺตอบว่า “เคยครับ” ท่านอุมัรฺก็บอกว่า “นั่นแหละคือการนิยาหะฮฺ (ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม)”

อนึ่งคำว่า ‘มักรูฮฺ’ (ความน่ารังเกียจ) ในคำพูดของบรรดาอุละมาอฺทั้งหมดนั้น ก็ไม่ได้หมายถึงในความหมายทั่วไปที่ว่า ‘ถ้าไม่ทำได้บุญ ถ้าทำก็ไม่ถึงกับบาป’ เพราะเมื่อมันถูกใช้พร้อมกับคำว่า ‘บิดอะฮฺ’ (อุตริกรรมทางศาสนา) ความหมายของมันก็จะเป็น ‘อุตริกรรมที่ต้องห้าม’ หรือหะรอมนั่นเอง ดังปรากฏใน ‘กัชฟุช ชุบฮาต’ หน้า 193 ว่า “ประการต่อมา โดยรูปการณ์แล้ว คำว่า ‘มักรูฮฺ’ จากคำกล่าวของนักวิชาการข้างต้นนั้น หมายถึง ‘เป็นเรื่องหะรอม’ (ต้องห้าม), ทั้งนี้ เพราะพื้นฐานของเรื่องนี้ (คือเรื่องที่ว่าการไปชุมนุมกินเลี้ยงกันที่บ้านผู้ตาย เป็นเรื่องมักรูฮฺนั้น) ได้แก่หะดีษของท่านญะรีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ (ร.ฎ.) (ที่กล่าวว่า …พวกเรา (เศาะหาบะฮฺ) นับว่าการไปร่วมชุมนุมกันที่ครอบครัว/บ้านผู้ตายและมีการปรุงอาหารเลี้ยงกันนั้น เป็นส่วนหนึ่งของนิยาหะฮฺ) และการนิยาหะฮฺนั้น ‘เป็นเรื่องหะรอม’ ดังนั้น สิ่งที่ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งนิยาหะฮฺ ก็ต้องหะรอมเช่นเดียวกัน และอีกอย่างหนึ่งก็คือคำว่ามักรูฮฺนี้ เมื่อถูกกล่าวโดยปราศจากข้อแม้ใดๆ (ตามหลักการแล้วถือว่า) ความหมายของมันก็คือหะรอมนั่นเอง”

ครับ จะเห็นได้ว่า จริงๆแล้ว บรรดาอุละมาอฺไม่ต้องเหนื่อยเลย หากมุสลิมอย่างเราๆเชื่อฟังหะดีษเศาะหีหฺสองบทแรกที่ผู้เขียนนำเสนอไปตอนต้นของบทความ อย่างหะดีษ ‘ท่านญะฟัร’ หรือหะดีษที่รายงานโดยท่านญะรีร บิน อับดุลลอฮฺ (ร.ฎ.) แต่แรก แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามเรื่องกินเลี้ยงบ้านคนตายก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นที่สะท้อนให้เรารู้ว่าทำไม ความงมงายและการปฏิบัติที่ผิดๆทั้งหลายยังคงอยู่คู่กับสังคมมุสลิมเราอยู่อีก แม้ขณะในยุคโลกาภิวัฒน์ที่แค่คลิกก็ค้นหาความถูกต้องได้แล้ว หรือเพราะมุสลิมเราไม่เชื่อฟังนบี แต่เชื่อฟังโต๊ะครูมากกว่าหรือเปล่าไม่รู้?

แต่ที่แน่ๆ กระแส ‘ยกปอเนาะขึ้นบก’ ในยุคของ Social network ก็นับว่าใหม่อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ อย่างการโพสต์รูปของโต๊ะครูที่มีแสงวาบๆรอบตัวด้วยโฟโตช็อป ลูกศิษย์ก็ประชันชุดโต๊ป ผ้าสารบั่น ตำหนิโต๊ะครูที่ไม่ใส่กะปีเยาะห์ รวมถึงพฤติกรรมแปลกๆอย่าง ตัดต่อรูปโต๊ะครูที่ตัวเองเรียกว่าวะฮาบีให้มีเขา มีดวงตากลางหน้าผาก หรือแม้แต่ในแง่ของวาทกรรม การล้อเลียน การแต่งนิยายเรื่องวะฮะบีในหัวข้อต่างๆอย่างการครองโลก, ครองประเทศ, ครองหมู่บ้าน, 10 อันตราย, 20 ความน่ากลัว ฯลฯ จนถึงขั้นมีเพจกลุ่มเฉพาะไว้เล่นเรื่องพวกนี้ ทั้งๆที่ฝ่ายวะฮาบี (เอาเถอะ ตีว่ามีตัวเป็นๆอยู่จริงในโลก) ก็นับหัวได้ด้วยซ้ำที่เที่ยวไปเถียงกับคนเหล่านี้ นั่นก็เพราะไม่มีใครไปสนใจคนเหล่านี้เลยนั่นเอง เพียงแต่การชี้แจงบางประการก็จำเป็นขึ้นมาได้ หากคนเหล่านี้เลยเถิดมากเกินไปในการก่อความวุ่นวายในสังคม ผู้เขียนเองก็มีความสนใจในแง่ของจิตวิทยาพฤติกรรมอยู่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษานะครับ ว่าอะไรทำให้พวกเขามาถึงจุดๆนี้ได้ ใครมีวิชา ความสามารถ รู้เรื่องทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้อง ก็น่าจะศึกษาเป็นงานวิจัยทางจิตวิทยาได้เลย หรือใครมีความสามารถทางการประพันธ์ ก็ลองแต่งปรากฏการณ์พวกนี้ให้เป็นวรรณกรรมที่แฝงคติ หรือนิทานเปรียบเทียบ อย่าง Animal Farm ของ จอร์จ ออเวลล์ งี้ คงจะสร้างสรรค์และมีประโยชน์กว่าไปนั่งเถียงมิใช่น้อย ก็ดูเองละกัน แม้แต่หะดีษเศาะหีหฺของท่านนบี พวกเขายังผลักออกไปอย่างไม่ใยดี นับประสาอะไรกับไอดำไอขาวอย่างเรา ที่เสนอหน้าไปถกเถียงเขาละ เด่วดีไม่ดีก็ถูกนาซีฮัตให้กลับไปใส่โสร่งสวมสารบั่นก่อนน่ะสิ.

หมีมลายู
16/10/58

Ref : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1666540870282930&set=gm.899143453487637&type=3
.

พระวีระธุ : โฉมหน้าผู้ก่อการร้ายตัวจริง

111

พระวีระธุ : โฉมหน้าผู้ก่อการร้ายตัวจริง
อิซซุดดีน อับดุลสลาม / เขียน
สมิอฺนา วะอะเฏาะอฺนา ปีที่ 6 ฉบับที่ 15, กรกฎาคม 2558
—-
ชนเผ่าเมียนมาร์ร่วมฉลอง ก.ม.คุ้มครองพุทธ พระวีระธุอยากมาไทยช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ /https://www.facebook.com/komchadluek.become.a.fan/posts/10153737820034668

เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักประวัติศาสตร์และนักสิทธิมนุษยชนว่าปัญหาในศตวรรษที่ 20-21 ของประเทศพม่าทั้งหมด มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่หัวขโมยอย่างเจ้าอาณานิคมบริติชเข้ามาหุบทรัพยากรของชมพูทวีปแทบทั้งหมดพร้อมกับวางไข่แห่งความเกลียดชังระหว่างกลุ่มต่างๆตามสูตร “Divide and Rule”—แบ่งแยกแล้วปกครอง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1824-1948 เพื่อให้เจ้าของประเทศชกตีกันเองจนไม่มีเวลามาต่อต้านตนเอง นั่นคือต้นเหตุในเบื้องต้น แต่จุดแตกหักและการสุกงอมของปัญหาจริงๆอยู่ที่การก้าวเข้าสู่ปี 1962 หรือ พ.ศ. 2505 พร้อมๆกับการปฏิวัติโดยระบอบเผด็จการทหารของนายพล เน วิน (Ne Win) ผู้ก่อตั้งพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า รัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศแบบพรรคเดียวยาวนานกว่า 45 ปี เข่นฆ่าประชาชนผู้คิดต่างในทุกเผ่าทุกกลุ่มรวมถึงชาวมุสลิมภายในประเทศ ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศในปี ค.ศ.2010 ชัยชนะของพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนาของนายพล เตง เส่น (Thein Sein) ประธานาธิบดีในเวลานี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นอดีตลูกหาบของเน วิน มาก่อนนั้น ก็เพียงแต่มาในรูปแบบใหม่ที่พยายามจะให้ประชาคมโลกยอมคลายความกดดันทางเศรษฐกิจ แต่เนื้อแท้แล้วยังคงเป็นระบอบเผด็จการอยู่ดี และยังซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อพัฒนาการที่เลวลงในครั้งนี้ ถูกถ่ายทอดจาก “เผด็จการทหาร” เป็น “เผด็จการพุทธศาสนา” ภายใต้การนำของพระสงฆ์รูปหนึ่งจากเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน แม้ในช่วงปฏิวัติชายจีวร (Saffron Revolution) เมื่อปี ค.ศ.2007 พระรูปนี้คือ พระวีระธุ (Ashin Wirathu) ผู้ทำให้ชาวโรฮิงญาต้องมานอนตายอย่างเดียวดายกลางมหาสมุทรและผืนป่าอันเงียบงันในประเทศไทย

จะเห็นได้ว่าเสียงร่ำไห้อันเงียบงันของพี่น้องโรฮิงญาไม่ได้เพิ่งเกิดในปี ค.ศ.2012 แต่มีสายธารแห่งความโหดร้ายมายาวนานและซับซ้อนมาก บทความชิ้นนี้จึงมีขอบเขตการค้นคว้าและนำเสนอบางประเด็นจากทั้งหมดเท่านั้น ผู้เขียนคิดว่ามีมุสลิมรวมถึงชาวโลกอีกไม่น้อยไม่เคยรับรู้ถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริง กระดุมเม็ดแรกที่ผิดรูและยังไม่มีใครคิดจะกลับไปแก้ไข

ปัญหาความรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อยในพม่าโดยเฉพาะระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมที่ส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญาซึ่งเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 ที่ผ่านมานั้น เป็นปัญหาความขัดแย้งระดับประเทศซึ่งสหประชาชาติกล่าวว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกข่มเหงมากที่สุดในโลก

สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ความรุนแรงที่ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นภายหลังจากพระวีระธุถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกในปี ค.ศ.2010 อันเนื่องมาจากนโยบายนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองของรัฐบาลพลเรือนพลเอก เตง เส่น ภายหลังต้องโทษจำคุก 25 ปี ในข้อหาปลุกระดมความเกลียดชังต่อชาวมุสลิมในพม่าเมื่อปี ค.ศ.2001 กระนั้นก็ตามความโดดเดี่ยวในคุกมืดก็ไม่อาจกำจัดความเกลียดชังและความคิดเชื้อชาตินิยม (Racism) เข้มข้นในตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันความคิดความอ่านของเขายังนำพาให้พระสงฆ์บางรูป พุทธศาสนิกบางส่วนในพม่าที่มีวิถีพุทธแตกต่างจากชาวพุทธทั่วโลก (แต่เหมือนศรีลังกา) อีกทั้งยังเคยเป็นผู้เรียกร้องความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ในนามของประชาธิปไตยอย่างเข้มข้นต่อรัฐบาลทหารเมื่อการปฏิวัติชายจีวรที่พระสงฆ์เป็นผู้นำในปี ค.ศ.2007 ด้วยนั้น คนเหล่านี้ได้กลายมาเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่ถือไม้และมีดยาวกวัดแกว่งไปทั่วเมืองโดยเฉพาะในร้านค้าที่รู้กันว่าเป็นของชาวมุสลิม ซึ่งถูกรัฐบาลพม่าปฏิเสธสัญชาติและกล่าวหาว่ามาจากประเทศอื่นด้วยนั้นแล้ว อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความอลหม่านและความน่ากลัวเหล่านี้ มิใช่ศาสนาพุทธหรอกหรือที่ถูกพูดถึงเมื่อมีการกล่าวอ้างถึงบุรุษแห่งสันติภาพโลกอย่างท่านทะไลลามะ (Dalai Lama) แห่งธิเบต ศาสนาที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความสันติและเงียบสงบกระทั่งมีนักพรตของตัวเองบางกลุ่มถูกเรียกว่าสายพระป่าด้วยซ้ำ

จริงๆแล้ว มิใช่เรื่องแปลกซะทีเดียวเมื่อมองในแง่ของปัจเจกบุคคล พระสงฆ์ก็เป็นปัจเจกชนอันมีถูกมีผิดเพี้ยนจากหลักคำสอนเดิม, จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียน ปัญญาชนคนสำคัญของไทยเคยพยายามที่จะทำความเข้าใจลักษณะสังคมไทยผ่านการวิเคราะห์ศาสนาพุทธ เขากล่าวถึงลักษณะของพระสงฆ์บางรูปในบทความที่เรียกกันว่า “ผีตองเหลือง” ไว้อย่างเจ็บแสบ แต่ด้วยความคิดที่มาก่อนกาลนั่นเอง ก่อนที่สังคมไทยจะเผชิญหน้ากับข่าวคราวพระสงฆ์ที่ประพฤติขัดต่อ “พุทธบัญญัติ” จนเป็นที่ติเตียนของชาวบ้านร้านรวง ขณะที่บทความของเขาชิ้นนี้อยู่ในโรงพิมพ์ในปี พ.ศ. 2496 ก็มีคนแอบส่งต้นฉบับไปให้ตำรวจจนถูกทางการห้ามตีพิมพ์ จิตรถูกมหาวิทยาลัยสั่งพักการเรียน 12 เดือนและโดนจับโยนบกลงจากเวทีจนบาดเจ็บสาหัส ขณะพยายามขึ้นไปชี้แจงให้เพื่อนนักศึกษาและคณาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเวลานั้นฟัง ถึงที่มาที่ไปและเหตุผลในการเขียนเรื่องนี้

ส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนยกเรื่องนี้มากล่าวก็คือ การวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นหลักสำคัญสำหรับสังคมที่มีอารยะ แม้แต่วิทยานิพนธ์จบการศึกษาซึ่งว่าที่บัณฑิตได้ตรวจทานจนสุดความสามารถแล้วนั่นเอง ก็ยังต้องมีการสอบปกป้อง จิตร นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ปี 3 ในเวลานั้น ได้แลกความเป็นอารยะของสังคมไทยด้วยการถูกเพื่อนนักศึกษาด้วยกันทำร้ายร่างกาย แต่ผลจากงานของเขากลับทำให้ผู้คนยิ่งมีความคิดใครครวญ จนหาพบได้ยากสำหรับชาวพุทธในไทยที่ยกย่องพระสงฆ์จนเลยเถิด (เว้นแต่ในชนบทมากๆ) เรื่องนี้เอง ไทยจึงนับว่ายังดีอยู่เมื่อเทียบกับสังคมพุทธของพม่าที่มีระบอบทหารคอยควบคุมเสรีภาพในการแสดงออกหรือการวิพากษ์วิจารณ์สังคม ซึ่งเขาถือกันว่าพระสงฆ์คือวีรบุรุษ นับตั้งแต่มีการต่อสู้เพื่อขับไล่เจ้าอาณานิคมบริติชมาแล้ว พระสงฆ์ในพม่าจึงมีสถานะที่สูงส่งมากจนรัฐบาลก็ไม่อาจกระทำการขัดใจใดๆได้ แม้แต่ประธานาธิบดีเตง เส่น ก็ยังยกย่องพระวีระธุว่าเป็น “บุคคลที่สูงศักดิ์” “บุตรแห่งพระพุทธเจ้า” และยังกล่าวด้วยว่าขบวนการ 969 ของพระวีระธุซึ่งเป็นแกนนำในการขับไล่และเผาบ้านเรือนชาวมุสลิมในพม่านั้น เป็น “ขบวนการแห่งสันติ” ด้วยซ้ำไป

จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวถึงภิกษุที่แอบอ้างศาสนาพุทธไว้ใน “ผีตองเหลือง” ว่า “…เขาเหล่านี้เดิมทีก็ใช้ชีวิตเป็นสามัญชนอย่างเราๆ แต่ความเกียจคร้านเพิ่มขึ้นทุกที ในที่สุดก็หาทางออกให้แก่ตัวเองอย่างง่ายๆ คือหนีโลกเข้าหาวัด เขาอ้างว่าผจญโลกมามากแล้ว เกิดความเบื่อหน่าย…พวกเราก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม พากันโมทนาสาธุ เราเรียกเขาว่า “พระ” ตามลักษณะเครื่องแต่งกายของเขา แต่ความจริงแล้วเขาน่าจะได้รับฉายาว่า “ผีตองเหลือง” หรือ “โจรผ้าเหลือง” มากกว่า เพราะเขามิได้มีสมบัติแห่งภิกขุในพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเลย”

จิตรพูดถูก เมื่อดูเบื้องหลังชีวิตของพระวีระธุแล้ว พระสงฆ์รูปนี้ไม่สมควรเป็นภิกขุหรือทาสผู้รับใช้พระพุทธเจ้าเลยแม้แต่น้อย เขามีโลกทัศน์ที่คับแคบ เป็นคนโง่ที่ถูกติดตามด้วยคนโง่อีกจำนวนมากเท่านั้นเอง ปัญญาชนอดีตนักศึกษาพม่าในเหตุการณ์ลุกฮือประชาธิปไตยเมื่อปี ค.ศ.1988 ที่เรียกตัวเองว่า “Generation 88” ก็ออกมาต่อต้านพฤติกรรมของเขา รวมถึงพระสงฆ์ชื่อดังก็มิใช่น้อยที่ออกมาแสดงความเห็นว่าสิ่งที่พระสงฆ์รูปนี้ทำนั้น มิใช่พุทธบัญญัติเลยสักนิดเดียว ความคิดที่ว่า “พวกกูพวกมึง” ที่ฝังลึกอยู่ในตัวของพระวีระธุ พระไพศาล วิสาโล พระปัญญาชนคนสำคัญของไทยก็กล่าวว่า มันก็เป็นได้แค่เพียงสิ่งที่น่ารังเกียจในพุทธศาสนา (Anathema to Buddhism) อย่างไรก็ตามความคิดในลักษณะนี้เองก็นำเขาไปสู่คำพูดที่สร้างความเกลียดชังขึ้นมาในสังคมอีกมาก ใน “Extremism Rises Among Myanmar Buddhists” โทมัส ฟูลเลอร์ (Thomas Fuller) แห่งนิวยอร์กไทม์ กล่าวว่า พระวีระธุเรียกชาวมุสลิมว่าเป็นพวกสร้างปัญหาและเป็นพวกหมาบ้า “ฉันเรียกพวกเขาว่าพวกสร้างปัญหา ก็เพราะพวกเขาเป็นพวกสร้างปัญหา, คุณจะมีความเมตตาหรือความรักแค่ไหนก็ได้ แต่คุณไม่สามารถนอนนิ่งๆข้างหมาบ้าได้หรอก” เขายังเปิดโรงเรียนวันอาทิตย์ (Sunday Dhamma Schools) สำหรับอบรมภิกษุสามเณรทั่วประเทศพม่า ทุกครั้งที่ขึ้นบรรยายเขามักจะพูดเสมอว่า “ถ้าเราอ่อนแอ เราก็จะเสียแผ่นดินให้พวกมุสลิม”

ซันดา วาระ (Ashin Sanda Wara) หัวหน้าพระสงฆ์ที่โรงเรียนวัดแห่งหนึ่งในย่างกุ้งบอกว่า พระวีระธุมีความกังวลมากต่อการเพิ่มขึ้นของประชากร (Demographic Pressures) พระวีระธุมักพูดว่า “พวกมุสลิมมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินของเรา ดื่มน้ำของเรา และเนรคุณพวกเรา” เขากลัวชาวมุสลิมเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีการขยายตัวของประชากรอย่างรวดเร็ว โดยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างบังกลาเทศ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้านเกิดจริงๆของชาวโรฮิงญา ความหวาดกลัวที่ว่านำมาซึ่งการปฏิเสธการรับรู้ข้อเท็จจริงธรรมดาว่า ชาวโรฮิงญาในเวลานี้นั้นเกิดในพม่า พวกเขาถูกปฏิสนธิในครรภ์มารดาที่กำลังเหยียบย่ำอยู่บนแผ่นดินพม่าด้วยซ้ำไป ส่วนชาวโรฮิงญาพม่าที่เกิดและอพยพมาจากบังกลาเทศนั้น ก็ได้ตายไปจากโลกนี้นับร้อยปีมาแล้ว อย่างไรก็ตามความหวาดกลัวไร้สตินี้เองได้สร้างพระสงฆ์สองกลุ่มขึ้นมาในพม่า กลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากก็คือกลุ่มที่สุดโต่งและเชื่อฟังพระวีระธุ อีกกลุ่มคือพระสงฆ์สายกลาง มีความเห็นอกเห็นใจต่อมุสลิม และบ่อยครั้งก็ถูกข่มขู่โดยขบวนการ 969 ทำให้พระสงฆ์กลุ่มนี้มีชีวิตอยู่ด้วยความบีบคั้นระหว่างความโหดเหี้ยมที่อ้างพุทธบัญญัติ กับความบริสุทธิ์ของพุทธบัญญัติที่พวกเขาจะต้องปกป้องแม้จะมีดาบแหลมปลาบตากวัดแกว่งอยู่เหนือศรีษะ

พระวีระธุเกิดในปี ค.ศ.1968 เขาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี เขาบอกว่าเบื่อหน่ายโลกที่มีแต่ความมุ่งร้าย เขาไม่อยากแต่งงาน ไม่ต้องการอยู่กับสตรีเพศ เขายังอ้างด้วยว่าเคยอ่านอัลกุรอาน มีเพื่อนที่เป็นมุสลิม แต่ไม่ค่อยได้สนิทสนมกันนักเพราะเพื่อนมุสลิมของเขาไม่รู้จักวิธีการพูดกับพระ “ฉันจะยอมรับพวกเขาเป็นเพื่อนได้ ถ้าหากพวกเขาเห็นว่าฉันเป็นบุคคลทางศาสนาที่เป็นที่เคารพและมีความสำคัญ”

นักวิจารณ์ชี้ว่าพระวีระธุเป็นคนที่ขาดการศึกษา ไม่มีความรู้ จึงง่ายมากที่เขาจะเป็นคนสุดโต่ง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ลุ่มหลงในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่สำคัญตลอดเวลา ทุกครั้งที่นั่งเทศน์ เขาจะเอนตัวไปมา เสียงที่นุ่มลึกและเชื่องช้า ประหนึ่งกำลังเข้าฌานอันเป็นหนึ่งในธรรมปฏิบัติขั้นสูงของผู้บรรลุทางพุทธศาสนานั้น สร้างความเลื่อมใสแก่ประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก แต่ก็สร้างความขัดแย้งในตัวเองด้วย เมื่อวาทะที่เปล่งออกมานั้นตรงข้าม ความคิดของเขาได้รับความนิยมในเมืองที่ชาวมุสลิมค้าขายได้ดิบได้ดี นั่นจึงเป็นที่มาของแคมเปญ 969 ที่เริ่มรณรงค์การบริโภคและใช้บริการจากร้านค้าที่เป็นของชาวพุทธเท่านั้น จนนำมาสู่การขับไล่นักธุรกิจและชาวมุสลิมทั่วไปให้ออกไปยังประเทศที่ 3 ตามนโยบายของรัฐบาล

นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2010 ที่ถูกปล่อยตัวออกจากคุก พระวีระธุเดินสายเทศนาความเกลียดชังมาตลอด เขาบอกว่าในทุกเมืองจะมีกลุ่มมุสลิมส่วนมากที่ป่าเถื่อนและหยาบคาย และว่าเหตุรุนแรงครั้งที่สองที่เกิดขึ้นในเมือง Meiktila ซึ่งทำให้มีคนตายมากกว่า 40 คน มีชาวมุสลิมถูกบังคับให้หลบหนีกว่า 13,000 คนนั้น เป็นผลมาจากเหตุรุนแรงที่เริ่มโดยชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ เมืองท่าด้านทิศตะวันตกของพม่าซึ่งมีมุสลิมโรฮิงญาอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง

พระวีระธุเชื่อว่าชาวมุสลิมจะบังคับให้หญิงชาวพุทธเปลี่ยนศาสนา ถ้าไม่แล้วจะถูกฆ่า การให้ฆ่าวัวด้วย “บัญญัติหะลาล” ทำให้ชาวมุสลิมนั้นคุ้นชินกับเลือด และอาจเป็นต้นตอการคุกคามความสงบสุขของโลก เขาเชื่อด้วยว่ามุสลิมที่มีอยู่แค่ 4 % ในพม่านั้นถูกชักใยโดยประเทศในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ยังได้ให้สัมภาษณ์กับ The Irrawaddy Magazine กรณีที่นิตยสาร TIME ฉบับเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2013 ลงบทความซึ่งเขียนโดย Hannah beech เกี่ยวกับตัวเขาและโปรยข้อความบนปกใต้ใบหน้านิ่งสงบของเขาว่า “The Face of Buddhist Terror” เป็นแผนร้ายของชาวมุสลิมนั่นเอง เขาบอกว่ามุสลิมคือผู้อยู่เบื้องหลังบทความกล่าวร้ายตัวเขาในนิตยสาร TIME คนเหล่านี้กำลังวางแผนจะทำสงครามญิฮาดกับพม่า!

แม้แต่โฆษกส่วนตัวของประธานาธิบดีพม่า นายยี ชุต (Ye Htut) ก็ออกมาตอบโต้ TIME เช่นกัน “มีบางส่วนในบทความที่ปรากฏนั้น สร้างความเข้าใจผิดต่อศาสนาพุทธ และไม่ได้สร้างความยุติธรรมขึ้นมาในประเทศของเราเลย…” เขาบอกว่าเขาไม่ได้แก้ตัวให้พระวีระธุ แต่เพราะบทความของ Hannah Beech ได้สร้างมลทินให้กับศาสนาพุทธต่างหาก

แน่นอนสำหรับผู้มีการศึกษาและเข้าใจภาษาอังกฤษอยู่บ้าง จะเห็นทันทีว่าความคิดความอ่าน โลกทัศน์และความรู้ของพระวีระธุ (อาจรวมถึงนาย ยี ชุต ด้วย) ที่กล่าวว่ามุสลิมอยู่เบื้องหลัง TIME ฉบับนี้นั้น มีปัญหาใหญ่หลวงซะแล้ว เพราะคำว่า “Face of” นั้น เป็นการเจาะจงเฉพาะคนในรูปคือพระวีระธุอยู่แล้ว ยิ่งมีคำว่า “The” นำหน้าอีก ก็ยิ่งตอกย้ำความหมายของปกว่านี่คือ “โฉมหน้าชาวพุทธผู้สร้างความหวาดกลัว” TIME ยังระมัดระวังไม่ใช่คำว่า Terrorist ด้วยซ้ำไป (ต่างจากเมื่อกล่าวถึงมุสลิม) อีกทั้งในเล่ม ยังมีข้อความที่บอกว่าศาสนาพุทธมีชื่อเสียงในเรื่องความรักสงบและอดทนอดกลั้น แต่ในหลายประเทศของเอเชีย พระสงฆ์กำลังเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดความดื้อรั้นและความรุนแรง โดยส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อต่อต้านมุสลิม โดยเฉพาะในพม่าด้วยแล้ว พระสงฆ์ซึ่งเคยเป็นผู้นำในการเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคในนามของประชาธิปไตยจากรัฐบาลพม่าด้วย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความย้อนแย้งอย่างน่าประหลาด นอกจากความคิดความอ่านของพระวีระธุที่น่าหัวร่อ พฤติกรรมผิดเพี้ยนพุทธบัญญัติที่แม้แต่จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้มาก่อนกาลก็มิอาจยั้งถึงได้แล้ว ยังมีเรื่องของนางออง ซาน ซูจี (Aung San Suu Kyi) หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านและขบวนการประชาธิปไตยพม่าของนาง ที่โดยหลักการแล้ว ขัดแย้งกันอย่างจังกับพุทธสังคมนิยม (Buddhist Socialism) ของพระวีระธุ

มีหลายคนวิ่งวุ่นตามหานางออง ซาน ซูจี สตรีผู้ถูกขนานนามอย่างสมเกียรติว่าเป็นวีรสตรีแห่งประชาธิปไตยพม่า ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของชาวมุสลิมพม่าผู้เลือกอยู่ฝั่งนางเมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อมในปี ค.ศ.2012 ซึ่งพรรคของนางชนะพรรครัฐบาลของพลเอก เตง เส่น อย่างถล่มทลาย ด้วย ส.ส. 37 ที่นั่ง ส.ว. 4 ที่นั่ง ขณะที่รัฐบาลได้ ส.ว. คืนมาแค่ 1 ที่นั่ง แต่ความจริงคือนางเองไม่เคยยกตนด้วยฐานะนี้ นางเป็นนักการเมืองตลอดมาดังที่เคยให้สัมภาษณ์กับ CNN อีกทั้งยังพูดในเวที The World Economic Forum ปี ค.ศ.2012 ด้วยว่า “ฉันจำเป็นต้องเลือกข้าง (จากวิกฤติพุทธ-มุสลิมที่เกิดขึ้น) เพราะไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันเลวร้ายมากไปกว่านี้”

กระนั้นก็ตาม พฤติกรรมของนางออง ซาน ซูจี ก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยาก นั่นเพราะปลายตุลาคม ปี 2015 นี้ จะเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่สองของประเทศ แม้รัฐธรรมนูญที่ทหารร่างขึ้นในปี 2008 ขณะนางยังอยู่ในช่วงกักบริเวณจะเขียนไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดก็ตามที่สมรสกับชาวต่างชาติหรือมีบุตรที่ถือสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติพม่าสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการบริหารประเทศได้” เหมือนจะเจาะจงนางโดยเฉพาะก็ตาม นางก็ยังมีความหวังด้วยกับการเลือกที่จะเงียบ ไม่ดื้อรั้นต่อรัฐบาลและที่สำคัญคือชาวพุทธที่มีอยู่กว่า 95 % ทั่วประเทศที่ยังคงสนับสนุนนางตราบใดที่ไม่มายุ่งเกี่ยวหรือปกป้องชาวมุสลิมในประเทศ

นอกจากประชาธิปไตยสามานย์ของนางออง ซาน ซูจี ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการขับไล่ชาวโรฮิงญาให้ออกไปตายนอกบ้านเกิดอย่างหดหู่แล้ว ความคิดพุทธสังคมนิยมของพระวีระธุที่เริ่มมีมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในยุคนายกรัฐมนตรีอูนุ (U Nu) แล้วนั้น ก็เลวร้ายไม่ต่างกัน

ใน “ธัมมิกสังคมนิยม” ของท่านพุทธทาสภิกขุ พระสงฆ์ไทยในอดีตที่มีความคิดความอ่านก้าวหน้าได้กล่าวถึงสังคมนิยมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนในยุคสมัยของท่านไว้ว่า “…ถ้านับถือพุทธศาสนาแล้ว มันจะมีเจตนารมณ์ของสังคมนิยมอยู่ในเลือดในเนื้อ มันจึงเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เป็นเพื่อนทุกอย่างที่จะดูดายกันไม่ได้…นี่คืออุดมคติของสังคมนิยมที่บริสุทธิ์…”

การที่ผู้เขียนอ้างท่านพุทธทาสภิกขุ ก็เพราะท่านเป็นบุคคลที่ชาวพุทธทุกกลุ่มยอมรับ หากจะเทียบในวงการนักปราชญ์มุสลิมแล้ว ก็เหมือนอิมาม อิบนุ กะษีร, อิมาม อิบนุ กอยยิม ที่มุสลิมคณะไหนก็ตามแต่ ล้วนยอมรับฟังกันทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงหวังอยู่ลึกๆว่าพระสงฆ์บางรูปในไทยอย่างพระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ที่เคยชื่นชมการขับไล่ชาวมุสลิมโรฮิงญาในปาฐกถาพิเศษเรื่อง “หน้าที่ของชาวพุทธต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา” เมื่อวันที่ 7-8 กันยายน พ.ศ. 2556 จะกลับมาฉุกคิดเสียบ้าง ไม่กระเหี้ยนกระหือรือริอยากจับไม้จับมีดเหมือนพระในพม่า มากระทำต่อชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่กับการกระทำเลวทรามทั้งหลายของมุสลิมส่วนน้อยที่แอบอ้างอิสลามทำร้ายชาวพุทธ และมีไม่น้อยด้วยที่ถูกคนเหล่านี้เข่นฆ่าเสียเอง รวมถึงการสร้างสถาณการณ์ความหวาดกลัวและข่มขู่ร้านรวงต่างๆในพื้นที่ด้วย

กรณีนาลันทามหาวิหาร (Nalanda Mahavihara) ในรัฐพิหาร, อินเดีย ก็เช่นกัน ศูนย์กลางพุทธศาสนาในอินเดียราวศตวรรษที่ 12 ซึ่งถูกกองทัพมุสลิมเติร์ก-อัฟกัน ของแม่ทัพมุฮัมมัด บิน บัคติยารฺ คิลจี (Muhammad Bakhtiyar Khilji) ในศึกพิชิตเบงกอลเมื่อปี ค.ศ.1200 เข้าปล้นสดมภ์ไล่ฟันบรรดาภิกษุสามเณรเพราะไม่ยอมเข้ารับศาสนาอิสลามโดยที่พระสงฆ์แต่ละรูปได้แต่นั่งฌานสงบนิ่งไม่ตอบโต้ความบ้าคลั่งของชาวมุสลิมเลย ยังไม่พอเรื่องเล่ายังมีอีกว่าชาวมุสลิมยังใช้เวลามากถึง 2-3 เดือนในการเผาทำลายมหาวิหารรวมถึงตำรับตำราทางพุทธศาสนาอันประเมินค่ามิได้ให้วอดวายปลาสนาการหมดไปจากโลกอย่างยากจะหากลุ่มคนที่ป่าเถือนเช่นนี้ได้อีกนั้น วาทกรรม “เกินจริง” ที่หาหลักฐานชัดเจนไม่ได้นี่เองกลายเป็นเครื่องมือหากินของพระวีระธุและชาวพุทธที่หวังจะยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังต่อชาวมุสลิม เพื่อขับไล่ให้ออกไปนอกประเทศเช่นที่เกิดในพม่า, ศรีลังกา หรือแม้กระทั่งในไทยเองที่มีการพูดถึงไม่หยุดหย่อนทางรายการโทรทัศน์ของศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย การรณรงค์ความเกลียดชังเช่นนี้สามารถทำให้คนโง่เขลาไม่เบื่อเลยที่จะนั่งฟังและเชื่อตามอย่างสนิทใจ

ควรจะกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า เป็นความจริงที่ชาวมุสลิมเติร์กได้ทำการย่ำยีนาลันทา มหาวิหาร ทว่านั้นไม่ใช่การญิฮาดซึ่งต้องมีเงื่อนไขมาจากการถูกอธรรมมาก่อนตามบทบัญญัติในอัลกุรอาน (อัลหัจญ์ : 39) ปัญญาชนผู้มีความคิดต้องไม่ลืมว่านี่เป็นเรื่องของการปล้นสดมภ์ การเมืองและการสงครามล้วนๆ ทหารมุสลิมเติร์กที่เข้าไปบั่นคอพระสงฆ์ในนาลันทาซึ่งกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ สำหรับอิสลามแล้ว จึงอาจเป็นได้แค่อาชญากรสงครามและผู้กระทำผิดต่อคำสั่งของท่านศาสนทูตที่ห้ามเข่นฆ่าผู้บำเพ็ญศีลในอาศรมเท่านั้นเอง

เหนืออื่นใด หากการศึกษาในเรื่องนี้เป็นไปด้วยเหตุผลไม่กินแต่อารมณ์ล้วนๆ การเสื่อมโทรมกระทั่งศาสนาพุทธสูญหายไปจากอินเดียก็มิได้มาจากเหตุปัจจัยภายนอกอย่างเดียว เหตุปัจจัยภายในเช่นความงมงาย ไสยศาสตร์ การทรงเจ้า เข้าผี บวงสรวงเทวดา ก็เข้มข้นและหาหลักฐานไม่ได้ในพุทธบัญญัติ ก็มีส่วนในการกัดกินอยู่มิใช่น้อย และเหตุดังกล่าวยังเกิดก่อนที่กองทัพเติร์กมุสลิมจะเข้ามาด้วย เรื่องนี้พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ก็เคยบรรยายไว้ในครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรเสียปีศาจมุสลิมเติร์กก็ได้ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งด้วยด้ามจอบแห่งอารมณ์และความโง่เขลาอย่างน่าเศร้าใจ เพื่อเป็นข้ออ้างในการกำจัดมุสลิมในสมัยปัจจุบัน กระทั่งมลายูมุสลิมที่อยู่ไกลจากนาลันทาทั้งในแง่ของระยะทางและยุคสมัยซึ่งยังมึนงงไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามุสลิมเติร์กคือใคร? นาลันทาคืออะไร? ก็ต้องมารับผิดชอบแทนกองทัพมุสลิมเติร์กเมื่อเกือบพันปีมาแล้วด้วย มันไม่สอดคล้องกับปัญญาหากมุสลิมในยุคปัจจุบันจะต้องรับผิดชอบต่อความเลวของมุสลิมในอดีต เช่นกันชาวพุทธในเวลานี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการรุกรานปัตตานีของชาวพุทธแห่งกรุงสยามในอดีต ไม่ต้องรับผิดชอบต่ออัศวินตำรวจอย่าง เผ่า ศรียานนท์ ที่นับถือพุทธและมีส่วนในการอุ้มฆ่าหัจญีสุหลง อับดุลกาเดร์อย่างอุกอาจเมื่อ 60 ปีก่อน และชาวโรฮิงญาในเวลานี้ก็ไม่ต้องมารับผิดชอบต่อการกระทำของจักรวรรดิบริติชที่นำบรรพบุรุษโรฮิงญาส่วนหนึ่งมาจากบังกลาเทศให้มาอยู่ในพม่าด้วยฉันใดก็ฉันนั้น

ความพยายามของพระวีระธุในการที่จะสถาปณาพุทธสังคมนิยมตามที่ตัวเองเข้าใจ เพื่อกระตุ้นมวลชนในการปฏิวัติสังคม ผ่านการทำงานที่เด็ดขาด รุนแรงและฉับพลันแบบที่นักปฏิวัตินิยมทำกัน เพื่อสร้างสังคมในอุดมคติที่ปราศจากพวก “หมาบ้า” ที่ตนใช้เรียกชาวมุสลิมแล้ว นอกจากจะขัดกับอุดมการณ์ของสิทธารถ “นักปฏิรูปสังคม” ไปสู่สิ่งที่ดีงามในหมู่มนุษย์ตามการวิเคราะห์ของจิตร ภูมิศักดิ์ แล้ว ยังสร้างความน่าอับอายต่อชาวพุทธทั่วโลก ไม่ต่างจากผลงานของมุฮัมมัด บิน บัคติยารฺ คิลจี ที่ได้ทำลายบัญญัติอันบริสุทธิ์ของการญิฮาดนั่นเอง

อันที่จริง บทความชิ้นนี้ผู้เขียนต้องการส่งสาส์นถึงทั้งมุสลิมและเพื่อนชาวพุทธ นี่คือยุคสมัยที่มนุษย์ต้องก้าวพ้นความเป็นเดรัจฉานเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติอันเป็นความต้องการของสิทธารถและศาสนทูตมุฮัมมัดเอง ผู้เขียนจะไม่ปกป้องมุสลิมที่กระทำผิด แต่จะขอปกป้องอิสลามที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี รวมถึงปกป้องชาวพุทธด้วย ดังที่ท่านทะไลลามะ (Dalai Lama) ประณามกรณีของพม่าว่า “การฆ่ากันในนามของศาสนา เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและคิดไม่ถึงจริงๆ…ฉันขอสวดมนต์ภาวนา ให้ชาวพุทธที่มีความคิดในแง่ลบต่อมุสลิม ให้คำนึงถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า” ท่านยังปกป้องอิสลามด้วยว่าอย่าตัดสิน “อิสลาม” จาก “มุสลิม” อิสลามเป็นศาสนาที่ยอดเยี่ยมซึ่งมักจะถูกเข้าใจผิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะแนวคิดในเรื่องของการ “ญิฮาด”

สุดท้ายไม่ว่าพระวีระธุจะรู้จักท่านพุทธทาสภิกขุหรือไม่ คำสอนของท่านต่อไปนี้ก็สมควรที่เขาจะนำไปใคร่ครวญไว้เหลือเกิน ท่านพุทธทาสได้พูดล้อติดตลกไปว่า “…ไม่เท่าไรก็จะมีมนุษย์ที่ไม่ควรเรียกว่ามนุษย์…มนุษย์เป็นมนุษย์กันถึงไหนแล้วโว้ย ที่ไปมองเห็นว่าการฆ่ากันคนละครึ่งโลกนี้เป็นเรื่องถูกต้อง มนุษย์ได้เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มันเป็นมนุษย์กันอย่างไร มีสังคมนิยมไว้เพื่อจะฆ่ากัน ฝ่ายโน้นมันก็มีพวก ฝ่ายนี้มันก็มีพวก แล้วมันก็ฆ่ากันได้ นี่มนุษย์เดินขึ้นมาถึงขั้นนี้…”

เว้นแต่เขาจะหลงตนคิดว่าเป็นอรหันต์มือเปื้อนเลือด และนึกฝันว่าสิทธารถจะภูมิใจนั่นแหละ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอให้เขาบ้าไปคนเดียวจะดีกว่า.

—-

เอกสารอ้างอิง :
1. นาครทาส, (2524). ผีตองเหลือง, ใน โลกหนังสือ, 4(12), หน้า 40-52.
2. พุทธทาสภิกขุ, “ธัมมิกสังคมนิยม”, มูลนิธิโกมลคีมทอง : กรุงเทพฯ, พ.ศ. 2529.
3. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) “จากอินเดียสู่เอเชีย ชุดที่ 4 (mp3)” . สืบค้นเมื่อ 18-5-2558.
4. “Myanmar bans TIME Magazine over ‘Buddhist Terror’ cover story”. investvine.com. 2013-6-28. สืบค้นเมื่อ 17-5-2558.
5. “Buddhist monk uses racism and rumours to spread hatred in Burma”. The Guardian.2013-4-18. สืบค้นเมื่อ 16-5-2558.
6. “Burma Objects to Time Magazine Criticism”. VOA. 2013-6-24. สืบค้นเมื่อ 17-5-2558.
7. “Dalai Lama Decries Attacks on Muslims”. Onislam.net. 2013-5-08. สืบค้นเมื่อ 17-5-2558.
8. “อัลกอนูน อัดดุวะลียฺ อัลอาม ฟิล อิสลาม’, ชัยคฺอัลดุลลอฮฺ อัรรอซฺ หน้า 8 และ “อัสสิยาสะฮฺ อัชชัรอียะฮฺ”, ชัยคฺอับดุลวะฮฺฮาบฺ ค็อลล๊าฟ หน้า 88.

1112 1113 1114