เมื่อปอเนาะไม่สอน และคกก.อิสลามจังหวัดไม่เคยจัดอบรม(ชีอะฮฺ)

2

เมื่อปอเนาะไม่สอน และคกก.อิสลามจังหวัดไม่เคยจัดอบรม มุสลิมทั่วไปอย่างเราก็ต้องดิ้นรนหาความรู้กันเอาเอง ดีที่อุละมาอฺในอดีตได้เตือนพวกเราไว้หมดแล้วถึงอันตรายของ ‘ศาสนาชีอะฮฺ’ โดยเฉพาะกลุ่มที่เชื่อในอิมาม 12 และมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความเป็นกาฟิรของเศาะหาบะฮฺนบี อย่ารอให้สายเป็นรอบสอง เวลากลุ่มชีอะฮฺแจกเงินแจกจักรยานให้เด็กมุสลิมอีก จะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดเหมือนตอนนี้.

========

// อิมาม อะบูหะนีฟะฮฺ (เสียชีวิต 148 H)
“พื้นฐานการศรัทธาของกลุ่มชีอะฮฺก็คือ การเชื่อว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺนบีผู้ถูกยอมรับจากอัลลอฮฺนั้น คือกลุ่มชนที่หลงทาง” (Al-Baihaqi, riwayat by Imam Abu Hanifah)

// อิมาม มาลิก บิน อนัส (เสียชีวิต 179 H)
อัลเคาะลาลรายงานจากท่านอบูบักรฺ อัลมะวัรซี ว่า “ฉันได้ยินท่านอบูอับดุลลอฮฺกล่าวว่า ท่านอิมาม มาลิก กล่าวว่า ‘ผู้ที่กล่าวร้ายใส่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบี คนเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ในอิสลาม’” (Al Khalal/As Sunnah, 2:557)

อิมาม อิบนุกะษีร กล่าวว่า “จากสูเราะฮฺอัลฟัตฮฺ อายัตที่ 29 ท่านอิมาม มาลิกได้นำมาใช้ตัดสินกล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่เกลียดชังบรรดาเศาะหาบะฮฺ พวกเขาเหล่านั้นก็คือกาฟิร ท่านกล่าวว่า ‘เพราะพวกเขาเกลียดชังบรรดาเศาะหาบะฮฺ และใครที่เกลียดบรรดาเศาะหาบะฮฺ พวกเขาก็คือกาฟิรตามการอ้างถึงอายัตข้างต้น’” อิมาม อิบนุกะษีรกล่าวว่าทัศนะข้างต้นล้วนเป็นที่ยอมรับจากบรรดาอุละมาอฺ (Tafsir Ibnu Katsir, 4:219. ดู Ruhul Ma’ani; Al-Alusi, 26:116. และ Ash-Shaarim al-Maslul, p. 579)

อิมาม อัลกุรฏุบีก็กล่าวไว้เช่นกันว่า “คำกล่าวและการตีความอายัตข้างต้นของอิมาม มาลิกนั้นจริงทีเดียว ใครก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามบรรดาเศาะหาบะฮฺหรือกล่าวร้ายใส่คำพูดของพวกเขา เช่นนี้แหละคือการแข็งข้อต่ออัลลอฮฺแล้ว…” (Tafsir al Qurtubi, 16:297)

// อิมาม อัชชาฟิอี (เสียชีวิต 204 H)
“ฉันไม่เคยเห็นกลุ่มชนใดเลยที่จะฉาวโฉ่ในเรื่องของการโกหกมดเท็จมากไปกว่ากลุ่ม ‘ชีอะฮฺอัรรอฟีเฎาะฮฺ’” (Adabus Syafi’i, m/s. 187. al-Manaqib; al-Baihaqiy, 1/468. Sunan al-Kubra, 10/208. Manhaj Imam asy-Syafi’i fi Itsbat al-Aqidah, 2/486)

อัลบุวัยตี ลูกศิษย์ของท่านอิมาม อัชชาฟิอี ได้ถามท่านอิมามว่า “ฉันจะละหมาดข้างหลังบุคคลที่เป็นชีอะฮฺได้หรือไม่ (หมายถึงเป็นมะมูม)?” ท่านอิมามกล่าวว่า “อย่าละหมาดข้างหลังบุคคลใดก็ตามที่เป็นกลุ่มชีอะฮฺ, พวกเกาะดะรียะฮฺ, พวกมุรญิอะฮฺ” ท่านอัลบุวัยตีจึงถามถึงคุณลักษณะของกลุ่มชีอะฮฺ ท่านอิมามจึงตอบว่า “ใครก็ตามที่กล่าวว่าท่านอบูบักร อัศศิดดิก และ ท่านอุมัร อิบนุ ค็อฏฏอบ ไม่ใช่อิมาม (ผู้นำ) เขาผู้นั้นแหละคือกลุ่มชีอะฮฺ” (Siyaru A’lamin Nubala; Imam Dzahabi, 10/31)

// ท่านมุฮัมมัด บิน ยูสุฟ อัลฟัรยาบี (เสียชีวิต 212 H)
มูซา บิน ฮารูน บิน ซัยยาด ได้เล่าว่า “ฉันได้ฟังท่านอัลฟัรยาบีกับผู้ตั้งคำถามต่อท่านเกี่ยวกับผู้ที่กล่าวร้ายต่ออบูบักรฺ ท่านจึงตอบว่า คนเหล่านี้คือกาฟิร เขาจึงถามต่อว่าแล้วจะละหมาดญะนาซะฮฺให้ได้หรือไม่? ท่านจึงตอบว่า ไม่ได้ เขาจึงถามต่อว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ทั้งๆที่พวกเขาก็กล่าวชะฮาดะฮฺ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ มิใช่หรือ? ท่านจึงตอบว่า ท่านอย่าได้สัมผัสศพของคนเหล่านี้ด้วยมือ แต่จงใช้ไม้แทนกระทั่งนำเขาลงหลุมฝังศพ” (Al Khalal, As Sunnah 6:566)

// ท่านอะฮฺมัด บิน ยูนุส (เสียชีวิต 227 H)
“หากจะมีเนื้อที่ถูกเชือดโดยชาวยิว (อะฮฺลุลกิตาบ) และชาวรอฟีเฎาะฮฺ (ชีอะฮฺ) ฉันจะกินเนื้อของชาวยิวดีกว่า ฉันจะไม่กินเนื้อที่ถูกเชือดโดยชาวชีอะฮฺ เพราะพวกเขาได้ตกจากศาสนาอิสลามไปแล้ว” (Ash Shaarim al Maslul, p.570) / ท่านอะฮฺมัด บิน ยูนุส เป็นอุละมาอฺในเมืองกูฟะฮฺ ซึ่งมีชีอะฮฺอยู่จำนวนมาก ท่านอิมามอะฮฺมัดกล่าวว่า “พวกท่านจงไปหาเขาเถอะ เพราะเขาคือชัยคุลอิสลามคนหนึ่ง” อิมาม อิบนุหะญัร กล่าวว่า “ครั้งหนึ่งท่านอะฮฺมัด บิน ยูนุส ได้เข้าพบท่านหัมมาด บิน ซัยดฺ เพื่อถามถึงความประเสริฐของท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน ท่านหัมมาดจึงถามท่านอะฮฺมัดว่า ‘ท่านเป็นใคร’ เขาตอบว่า ‘คนๆหนึ่งที่มาจากกูฟะฮฺ’ ท่านหัมมาดจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า ‘คนกูฟะฮฺมาถามฉันถึงความประเสิรฐของท่านอุสมาน ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันจะไม่ตอบเขาจนกว่าเขาจะนั่งลง (ให้สบาย) และฉันจะเป็นคนยืนเสียเอง’ (Tahdzibut Tahdzib, 1:50, Taqribut Tahdzib, 1:29)

// อิมาม อะฮฺมัด บิน ฮัมบัล (เสียชีวิต 241 H)
อับดุลลอฮฺ บิน อะฮฺมัด บิน ฮัมบัล กล่าวว่า “ฉันเคยถามคุณพ่อถึงกลุ่มคนที่ดูถูกเหยียดหยามเศาะหาบะฮฺนบี พ่อของฉันตอบว่า ‘นี้คือการตกศาสนา…ฉันไม่เห็นว่านี้จะเป็นอิสลาม’” (As-Sunnah; al-Khallal : p.791-792.)

// อิมาม อัลบุคอรี (เสียชีวิต 256 H)
“สำหรับฉันแล้ว, อุปมาอุปไมยการละหมาดข้างหลังอิมามที่มีแนวคิดญะฮฺมิยะฮฺหรือชีอะฮฺ ไม่ต่างอะไรกับการละหมาดข้างหลังอิมามที่เป็นยิวและคริสเตียน มุสลิมคนใดก็ตามไม่อาจให้สลามกับพวกเขา ไม่อาจเยี่ยมเยียนพวกเขายามป่วยไข้ (หากพวกเขาตั้งตนเป็นศัตรูกับมุสลิม) ไม่อาจแต่งงานกับพวกเขา ไม่อาจเลือกพวกเขาเป็นพยานหรือรับประทานเนื้อที่พวกเขาเชือดได้” (Imam Bukhari/Khalqu Af’alil ‘Ibad, p.125)

// อบูซุรอะฮฺ อัรรอซี (เสียชีวิต 264 H)
“เมื่อใดที่ท่านเห็นผู้คนที่ดูถูก (กล่าวร้าย) ใส่เศาะหาบะฮฺนบี ดังนั้นให้รู้ได้เลยว่าคนเหล่านี้คือพวกซินดิก (ตกศาสนา) เพราะการกระทำเช่นนั้นได้ท้าทายและปฏิเสธอัลกุรอานและสุนนะฮฺนั่นเอง” (Al Kifayah, p.49)

// ท่าน อิบนุกุตัยบะฮฺ (เสียชีวิต 276 H)
“พฤติกรรมการยกย่องท่านอะลีอย่างเลยเถิดเกินกว่าคนอื่นๆที่ถูกยกย่องโดยท่านนบีเองและเหล่าเศาะหาบะฮฺ อย่างการกล่าวว่าท่านอะลีคือทายาทของความเป็นนบี และเหล่าอิมาม (ทั้ง 12) นั้นรู้ในสิ่งที่เร้นลับ ความคิดในลักษณะนี้และอีกหลายๆความลึกลับของพวกเขา นำไปสู่การชอบโกหกมดเท็จและการปฏิเสธที่โง่เง่าและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง” (Al Ikhtilaf fil Lafdhi war Raddu ‘alal Jahmiyah wal Musabbihah, p.47)

// อับดุลเกาะดิร อัลบัฆดาดี (เสียชีวิต 429 H)
“กลุ่มญะรูดิยะฮฺ, ญะฮฺมิยะฮฺ, อิมามิยะฮฺ (ชีอะฮฺ) คือกลุ่มชนที่ชมชอบในอารมณ์ใฝ่ต่ำ พวกเขากล่าวว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺที่นบีรักเป็นกาฟิร ดังนั้นตามทัศนะของฉันพวกเขาจึงเป็นกาฟิร ไม่สามารถและไม่ถูกต้องหากจะเป็นมะมูมละหมาดตามหลังพวกเขา” (Al Farqu bainal Firaq, p.357)

// อิมามอัลเฆาะซาลี (เสียชีวิต 505 H)
“ผู้ที่กล่าวว่าท่านอบูบักรฺกับท่านอุมัรเป็นกาฟิร ทั้งที่อัลลอฮฺโปรดปรานทั้งสอง เช่นนี้แหละพวกเขาได้ขัดแย้งและทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของมวลมุสลิมแล้ว และทั้งๆที่เหล่าเศาะหาบะฮฺได้รับการตอบรับโดยสวนสวรรค์ตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน ได้รับการชื่นชม พร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่นสำหรับชีวิตเพื่อศาสนาของพวกเขาเหนือกว่ามุนษย์ทั่วๆไป ดังนั้นหากคนเหล่านี้ยังยืนยันในความเป็นกาฟิรของท่านอบูบักรฺและท่านอุมัร ดังนั้นพวกเขา (กลุ่มชีอะฮฺ) เองนั้นแหละที่เป็นกาฟิร เพราะพวกเขาได้มดเท็จต่อคำสอนของท่านศาสนทูต และตามความเห็นของมวลมุสลิมแล้ว ใครก็ตามที่กระทำเช่นนี้ พวกเขาก็หาได้เป็นมุสลิมอีกต่อไป” (Fadhaaihul Bathiniyyah, p.149)

// อิมามาอิบนุกะษีร (เสียชีวิต 774 H)
อิมามอิบนุกะษีรได้กล่าวถึงคำวาสิยัตในอัลกุรอานที่มีต่อท่านอะลี (เช่นสูเราะวิลายาตที่ชีอะฮฺกล่าวว่าถูกตัดออก) ซึ่งชีอะฮฺชอบอ้างถึงอยู่เสมอๆว่า “ในกรณีของคำวาสิยัตที่ว่าหากปรากฏว่ามีอยู่จริงในอัลกุรอานแล้ว แน่นอนว่าจะไม่มีเศาะหาบะฮฺนบีแม้แต่คนเดียวที่จะปฏิเสธอายัตนั้น เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ที่เข้มงวดที่สุดในการเชื่อฟังอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังจากที่ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นการกระทำที่ต้องห้ามเด็ดขาดหากพวกเขา (กลุ่มชีอะฮฺ) จะยกย่องใครสักคน (ท่านอะลี) ให้เป็นที่หนึ่งก่อนผู้ที่ท่านศาสนทูตยกย่องให้เป็นลำดับแรก (อะบูบักร ฯลฯ) และใครก็ตามที่กล่าวว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นทรยศหักหลังและร่วมมือกันต่อต้านคำตัดสินของท่านศาสนทูต บุคคลเช่นนี้ก็ได้ปลดสายเชือกแห่งอัลอิสลามเสียแล้ว และตกเป็นกาฟิรด้วยคำตัดสินของบรรดาอุละมาอฺแห่งประชาชาติอิสลาม…” (Arrisalah p.751, p.1125)

// อิมามมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ (เสียชีวิต 1206 H)
“ผู้ใดกล่าวร้ายเฉพาะเจาะจงต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺนบี ทั้งๆที่พวกเขาได้รับการรายงานที่มากมายและหนักแน่นถึงความประเสริฐ เช่นเหล่าคุลาฟาอิรรอชิดีน (อบูบักร, อุมัร, อุสมาน, อะลี) ดังนั้นใครที่กล่าวว่าตน ‘มีสิทธิ’ ในการกล่าวร้ายนี้ เขาก็ได้เป็นกาฟิรแล้ว ส่วนใครที่กล่าวร้ายโดยไม่ได้คิดว่าเป็นสิทธิหรือคิดว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺเป็นเช่นนั้นจริง เขาผู้นั้นก็ได้กระทำสิ่งเสื่อมเสียแล้ว เพราะการกล่าวร้ายต่อ ‘มุสลิม’ ด้วยกันนั้นเป็นการกระทำอันเสื่อมเสีย แท้จริงแล้วอุละมาอฺบางส่วนกล่าวว่าใครที่ตั้งใจกล่าวร้ายใส่อบูบักรฺกับอุมัรนั้น บุคคลเช่นนี้เป็นกาฟิรเสียยิ่งกว่ากาฟิรเสียอีก” (Risaalah Fir Raddi’ ‘Alar Raafidhah, p.18-19.)

“ปรากฏหลักฐานชัดเจนในตำราของพวกเขา (ชีอะฮฺ) ว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์และถูกเปลี่ยนแปลง และหากเป็นเช่นนี้แล้ว แน่นอนพวกเขาก็ได้มอบการเป็นกาฟิรแก่ท่านอะลีด้วยเช่นกัน เพราะได้ยินยอมให้เกิดการกระทำเช่นนี้ต่ออัลกุรอาน ‘แท้จริงอัลกุรอานนั้นปราศจากความสกปรกโสมมไม่ว่าจะอยู่ในยุคที่ท่านอะลีมีชีวิตหรือหลังจากนั้นไปแล้ว อัลกุรอานถูกส่งมาโดยพระเจ้าผู้ทรงชาญฉลาดและเต็มไปด้วยการสรรเสริญยิ่ง’ (Fushshilat, ayat 20.) ดังที่พระองค์ได้กล่าวว่า ‘พระองค์คือผู้ทรงส่งอัลกุรอานลงมาและจะเป็นผู้ดูแลรักษา’ (Al-Hijr, ayat 9.) ดังนั้นผู้ใดที่เชื่อว่าอัลกุรอานไม่ถูกคุ้มครองดูแล เนื่องจากปรากฏมีการสูญหายของเนื้อหาและโองการต่างๆมิได้เป็นไปตามรูปแบบเดิมเมื่อครั้งที่ถูกส่งลงมาแล้ว เขาก็ได้เป็นกาฟิรแล้ว” (Risaalah Fir Raddi ‘Alar Raafidhah, p.14-15.)

“ใครก็ตามทำให้มี ‘คนกลาง’ ระหว่างตนเองกับอัลลอฮฺเฉกเช่นที่กลุ่มชีอะฮฺได้กำหนดบรรดาอิมามของพวกเขาสำหรับตำแหน่งนี้ ดังนั้นใครก็ตามที่ได้กระทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพียงการ ‘ขอต่อพวกเขา’ หรือกำหนด ‘ให้พวกเขาเป็นคนกลาง’ และเชื่อมั่นในพวกเขาก็ตาม ตามมติของบรรดาอุละมาอฺแล้ว เขาก็คือกาฟิรนั่นเอง” (Risaalah Nawaaqidhul Islam, p.283.)

“ผู้ใดก็ตามที่ยกย่องบรรดาอิมาม (ทั้ง 12) ให้เหนือกว่านบี พวกเขาได้เป็นกาฟิรแล้วตามมติของบรรดาอุละมาอฺ” (Risaalah Fir Raddi ‘Alar Raafidhah, p.29.)

// มุฮัมมัด บิน อะลี อัชเชากานี (เสียชีวิต 1250 H)
“แม้จริงคำสอนของกลุ่มชีอะฮฺนั้นเต็มไปด้วยความเลยเถิดทางศาสนาและทำตัวเป็นศัตรูต่อกฎหมายอิสลามของบรรดามุสลิม ทว่าเป็นสิ่งที่น่าสงสัยว่าทำไมถึงยังมีผู้นำศาสนาที่ปล่อยให้พวกเขากระทำเช่นนั้น ทั้งๆที่พวกเขามีจุดมุ่งหมายอันสกปรก…พวกเขาใช้วิธีของชัยฏอนในการดูถูกบรรดาผู้คนที่นำพาชารีอะฮฺมาสู่เรา กระทั่งได้สาปแช่งบรรดาเศาะหาบะฮฺ…การกระทำของพวกเขานั้นเป็นมากกว่าการทำบาปใหญ่เสียอีก เพราะพวกเขาได้ต่อต้านทั้งอัลลอฮฺและศาสนทูต กระทำบาปใหญ่ซึ่งครอบคลุมบาปใหญ่ทั้งสี่ ซึ่งล้วนแต่มีคำตัดสินให้ตกเป็นกาฟิรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านอัลลอฮฺ, การต่อต้านอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์, ต่อต้านบทบัญญัติแห่งอิสลามโดยการปฏิเสธ และสุดท้ายคือ การตัดสินให้ตกเป็นกาฟิรสำหรับบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านศาสนทูตซึ่งได้รับการยืนยันในอัลกุรอานว่าเป็นบุคคลที่ต่อต้านกาฟิร (ที่เป็นศัตรูกับอิสลาม) อย่างแข็งขันและกาฟิรเหล่านี้ก็รังเกียจเหล่าเศาะหาบะฮฺอย่างหนักแน่นไม่ต่างกัน, อัลลอฮฺนั้นได้วางกฏเกณท์ชัดเจนในอัลกุรอานว่ามุสลิมคนไหนก็ตามที่กล่าวร้ายให้มุสลิมอีกคนตกเป็นกาฟิร เช่นนั้นแหละเขาได้เป็นกาฟิรเองเสียแล้ว (Shahih Bukhari, juz VII: 97; Muslim, I:79.) ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มชีอะฮฺนั้นเป็นกลุ่มคนที่ชั่วช้า และเป็นกลุ่มคนกาฟิร เพราะพวกเขาได้กล่าวเช่นนั้นต่อเศาะหาบะฮฺนบี และไม่ใช่เพียงคนเดียวแต่จำนวนทั้งหมดยกเว้นเพียงไม่กี่คน (Asy Syaukani, Natsrul Jauhar ‘ala hadiitsi Abi Dzar, al Waraqah, p. 15-16.)

// อิมามอิบนุตัยมิยะฮฺ (เสียชีวิต 1328 H)
“ผู้ใดที่กล่าวว่าโองการในอัลกุรอานนั้นบกพร่องหรือมีบางส่วนที่ถูกซ่อนเร้น หรือกล่าวว่ามีการอธิบายที่ผิดเพี้ยน ดังนั้น สูญเปล่าเสียแล้วซึ่งความดีที่เขามี และบรรดาอุละมาอฺก็ได้ตัดสินให้บุคคลเช่นนี้ตกกาฟิรโดยเอกฉันท์”

“…ยุคสมัยของบรรดาเศาะหาบะฮฺนั้น เป็นยุคสมัยแห่งความดีงามของมนุษยชาติ หากจะมีผู้ใดกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นกาฟิรหรือคนเลว เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการกล่าวว่าประชาชาติอิสลามทั้งในตอนนี้และก่อนหน้านี้ช่างเป็นประชาชาติที่เลวทรามที่สุดในมวลมนุษยชาติ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่เชื่อเช่นนี้เขาก็ได้เป็นกาฟิรเองเสียแล้ว เพราะเขาได้ทำให้ ‘ภาพแห่งอิสลาม’ เสียหายย่อยยับที่สุด”

“ผู้ที่เชื่อและกล่าวเช่นนี้ช่างเลวทรามที่สุดในบรรดากลุ่มคนที่ชอบตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตน และเป็นที่อนุญาตที่จะสู้ยิ่งกว่าพวกเคาะวาริจญ์เสียอีก” (Ash Shaarim al Maslul, p. 586-587., Majmu’ Fataawa, Ibnu Taimiyyah, p.28:482.)

แปลบางส่วนมาจาก : http://www.syiah.net/…/fatwa-dan-pendirian-ulama-sunni-terh…

14/8/58

แนะนำหนังสือ–มุสลิมกับสันติภาพ

มุสลิมกับสันติภาพ // เครือข่ายปัญญาชนมุสลิม

เป็นปรากฏการณ์ล้มราชครูหัวเก่าดีแท้ โดยเฉพาะสายที่พยายามเผยแพร่แนวคิดประหลาดต่างๆเพื่อเชื่อมโยงปัตตานีเข้าสู่ประวัติศาสตร์อิสลามอย่างเกินจริง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการฆ่าผู้บริสุทธิ์ สร้างความแตกแยกระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนำพาสู่เหตุการณ์วุ่นวายต่างๆในดินแดนที่เคยสงบสุข

หลังจากที่คัมภีร์ปกเหลืองหรือ “เบอร์ญีฮาด ดี ฟาฏอนี” ได้ถูกเผยแพร่ออกไปสร้างความงงงวยในวงการวิชาการทางประวัติศาสตร์แก่ผู้คนและประชาชนที่พร้อมจะเชื่อความงมงายไปแล้วนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใดที่ออกมาโต้ตอบแนวคิดผิดเพี้ยนดังกล่าวได้อย่างเป็นวิชาการและสากลนอกจากหนังสือ “มุสลิมกับสันติภาพ” ที่ออกโดยเครือข่ายปัญญาชนมุสลิม และไม่มีข้อมูลอื่นมากกว่านี้ เนื้อหาภายในเล่มมีการวิเคราะห์ถึงปัญหาได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ชี้แจงถึงต้นตอปัญหารวมถึงวิธีการปฏิบัติการณ์ของฝ่ายผู้พยายามแบ่งแยกดินแดน ไม่ว่าจะเป็นการแทรกซึมบทเรียนในระดับตาดีกา โดยการอาศัยประเพณีดั้งเดิมของชาวบ้านที่นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน ประกอบกับอาศัยจังหวะแห่งความเป็นจริงที่ประชาชนในสามจังหวัดได้รับความอธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐมายาวนาน

หนังสือยังได้พูดถึงหลักการญีฮาดที่แท้จริง พูดถึงหลักการปกครองของอุลามาอฺอินเดียชื่อดังในอดีตอย่าง ชัยค์อะหฺมัด อัสสิรฮินดีย์ ที่นำพาสู่การปกครองอย่างสงบสุขแบบอิสลามของสุลต่านโอรังเซปแห่งราชวงค์โมกุล มีการอ้างอิงเนื้อหาสาระจากกุรอานและอัลหะดีษและปราชญ์มุสลิมมากมายได้อย่างน่าทึ่งไม่ว่าจะเป็น ซัยยิด อบูลอะอฺลา อัลเมาดูดีย์, อิบนุกะษีร, ชัยค์ยูซุฟ ก็อรฏอวีย์, ชัยค์เราะมะฎอน อัลบูตีย์ เป็นต้น เล่มนี้เล่มเดียวสามารถโต้ตอบขบวนการชาตินิยมมลายูที่ผิดหลักอิสลามและยังวิเคราะห์ความผิดพลาดของฝ่ายรัฐที่ไม่เคยเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหาได้อย่างเห็นภาพ น่าสนใจที่ว่า แม้ข้อมูลของหนังสือไม่มีอะไรเลยนอกจากคณะผู้จัดทำ แต่กลับพิมพ์ไปแล้วสองครั้ง ครั้งละหมื่นเล่ม