ได้เวลา..สังหารหมู่มุสลิมแอฟริกากลาง สำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะเผาไหม้

444444

ได้เวลา..สังหารหมู่มุสลิมแอฟริกากลาง
สำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะเผาไหม้

source : www.onislam.net , www.nytimes.com , www.wikipedia.org
กองบรรณาธิการสมิอฺนา
อิซซุดดีน อับดุลสลาม แปล/เรียบเรียง

1965008_692706670786020_700179652_n

มีนิทานโบราณอยู่เรื่องหนึ่งที่พูดถึงฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐที่ทำให้มันล้มลง นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่ามันอาจไม่ใช่เพราะฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อูฐล้มลง แต่เพราะสัมภาระก่อนหน้านั้นบนตัวมันต่างหาก มันรับไม่ไหวแล้วแต่พ่อค้าก็ยังคิดว่ารับได้จึงเติมฟางเข้าไปอีกเส้น อูฐเข่าสั่นตั้งแต่ก่อนที่ฟางสุดท้ายจะถูกวางบนตัวมันเเล้วด้วยซ้ำ สุดท้ายอูฐก็ล้มลง

ภาพกองกำลังคริสเตียนที่รอบคอมีเครื่องรางของขลังทำมาจากผ้าผืนเล็กๆเย็บติดกัน ควงมีดพร้า ท่อนไม้และอาวุธที่ทำขึ้นมาเอง ตระเวนเข่นฆ่าพี่น้องชาวมุสลิมในประเทศแอฟริกากลางทั่วประเทศนั้น ดูเหมือนจะเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปแล้วในประเทศนี้ โดยเฉพาะในเมืองหลวงที่ชื่อบังกี พวกเขาเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง โดยอ้างว่าเพื่อไล่ล่าอดีตกองกำลังติดอาวุธกบฏมุสลิมเซเลกา (Seleka-แปลว่าพันธมิตร) ที่เคยก่อกบฎและปกครองประเทศมาก่อนหน้านี้ระหว่างเดือนมีนาคม 2013 – มกราคม 2014

“เขาเป็นมุสลิมที่นี่ ชื่ออะบากา” เบนจามิน คริสเตียนคนหนึ่งพูดกับสำนักข่าว AFP ขณะยืนอยู่ใกล้ศพของชายที่ใบหูถูกตัดขาดออกไป

“พวกเราฆ่าเขาที่สนามหน้าบ้านของเขาเอง” เบนจามินกล่าว

‘พวกเขา’ ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงเพียงกองกำลังติดอาวุธชาวคริสเตียนที่ชื่อ ‘Anti-Balaka’ เท่านั้น (ชื่อกลุ่มแปลว่า ‘ต่อต้านการใช้มีด’ เดาเอาว่าน่าจะเป็นการล้อเลียนอย่างสนุกมากกว่า พวกเขาบอกว่าต่อต้านการใช้มีด แต่ที่จริง นั้นเป็นอาวุธหลักเลยทีเดียว–ผู้เขียน) หากยังรวมถึงชาวบ้านทั่วไปที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งแค้นเคืองแบบเหมารวมชาวมุสลิมทั้งหมดแม้ไม่ได้เป็นกองกำลังเซเลกา จำเดิมเคยเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ด้วยกันอย่างสงบกันด้วยซ้ำ ซึ่งยังไม่ออกไปจากเมืองบังกี เมืองหลวงของประเทศ องค์กรมนุษยชนแอมเนสตี้กล่าวถึงพฤติกรรมต่อชาวมุสลิมของกลุ่มคริสเตียนเหล่านี้ว่าเหมือนคิดจะ “กวาดล้างเชื้อชาติมุสลิมออกไปให้หมด”

ตั้งแต่ความรุนแรงได้ก่อตัวขึ้นในต้นปี 2013 ภาพของการเข่นฆ่าชาวมุสลิมใน 5 เขตพื้นที่เศรษฐกิจในเมืองบังกีก็ไม่ใช่ภาพที่แปลกตาอีกต่อไป ประเทศแอฟริกากลางมีชาวคริสเตียนมากกว่า 50% ส่วนมุสลิมเช่นชายที่ชื่ออะบากา ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศมีเพียง 5% เท่านั้น พวกเขาถูกกลุ่มนักรบ ‘Anti-Balaka’ ไล่ล่าอย่างหัวซุกหัวซุน พวกเขาพกอาวุธทั้งมีดพร้า ค้อน ลวดสลิงและจอบ นอกจากการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เป็นอดีตกองกำลังกบฏเซเลกาแล้ว ร้านค้าต่างๆซึ่งเป็นของมุสลิมก็ถูกเข้ามาขโมยข้าวของไปเสียสิ้น ทว่าการกระทำทั้งหมดเหล่านี้ก็ยังถูกอ้างว่าเพื่อไล่ล่าอดีตนักรบกบฏมุสลิมเซเลกาเท่านั้น

ประเทศแอฟริกากลางซึ่งอยู่ใจกลางทวีปแอฟริกานั้น มั่งคั่งไปด้วยแร่ธาตุมากมายหลายชนิด แต่เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และด้วยในอดีตเคยเป็นดินแดนอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสและได้รับอิสรภาพเมื่อปี 1960 ซึ่งเมื่อได้รับอิสรภาพ ประเทศก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาคอรัปชั่น มีสมบัติล้ำค่าอยู่ใต้ดินก็จริง แต่ก็ไม่มีความรู้ความสามารถในการจัดการ และความรุนแรงระหว่างกลุ่มก็มีมาอย่างต่อเนื่องเหมือนยุคป่าเถื่อนในอดีตไม่มีผิด เป็นปกติวิสัยของบ้านเมืองที่ผู้คนไร้การศึกษา ยากจนและอดอยาก, ในเดือนมีนาคมปี 2013 กองกำลังกบฏมุสลิมติดอาวุธจากภาคเหนือของประเทศที่นำโดย มิเชล โดโตโจ (Michel Djotodia) ชาวมุสลิมอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในรัฐบาลเดิม ได้รวบรวมกองกำลังทางภาคเหนือซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิมและถูกนโยบายหลายอย่างของรัฐบาลคริสเตียนเบียดเบียน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องเปลี่ยนชื่อเป็นคริสเตียนเพื่อให้ได้รับสิทธิบางอย่างของพลเมือง โดโตโจนำกองกำลังที่มาจาก 5 กลุ่มทางภาคเหนือ เข้ายึดเมืองหลวงบังกีและขับไล่ประธานาธิบดีซึ่งเป็นชาวคริสเตียน ฟรานซิส โบซิเซ (François Bozize) ออกจากตำแหน่ง มีรายงานว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลานี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการยุยงปลุกปั่น จากอดีตผู้นำคนนี้ด้วย

ภายหลังจากที่โบซิเซได้อำนาจมาจากรัฐประหารเมื่อปี 2003 และถูกประธานาธิบดีโดโตโจยึดอำนาจในต้นปี 2013 ต่อมาเมื่อต้นปี 2014 ประธานาธิบดีโดโตโจ ก็รับแรงกดดันจากชาวคริสเตียนและผู้คัดค้านจากนานาประเทศไม่ไหว เนื่องจากกองกำลังของเขาในอดีตมีจำนวนมากที่มาจากนอกประเทศที่อยู่เหนือการควบคุมและไปก่อความโหดร้ายกับชาวคริสเตียนตามอำเภอใจ โดโตโจจึงตัดสินใจเนรเทศตัวเองหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเบนิน และแคทเธอรีน แซมบา-แพนซา (Catherine Samba-Panza) อดีตนายกเทศมนตรีหญิงเมืองบังกี ซึ่งเป็นชาวคริสเตียน ก็ได้ขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำรักษาการแทน

เป็นไปได้อีกว่าความโหดร้ายของกบฏมุสลิมเซเลกาบางส่วนก็ได้มาจากการไปรับแนวคิดของกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงที่ชื่อ ‘บูกู หะรอม’ (Boko Haram) ในประเทศไนจีเรียขณะนี้อีกด้วย บูกู หะรอม แปลว่า ‘การศึกษาแบบตะวันตกนั้นเป็นบาป’ กลุ่มนี้อ้างศาสนาในการทำร่้ายชาวคริสเตียนในไนจิเรีย เผาโรงเรียนที่สอนวิชาการตะวันตก (ซึ่งมีลูกหลานมุสลิมเรียนอยู่เต็มไปหมด) รวมถึงฆ่ามุสลิมที่ไม่เห็นด้วย และเรียกร้องให้ทุกโรงเรียนสอนวิชาอัลกุรอานเท่านั้น อีกทั้งยังต้องการทำให้ไนจิเรียทั้งประเทศเป็นมุสลิม โดยบอกว่าจะไม่เกิดความสันติในประเทศนี้จนกว่าคนต่างศาสนิกทั้งหมดจะเข้ารับอิสลาม และทั้งประเทศต้องใช้กฏหมายชารีอะฮฺ เหล่านี้เป็นคำพูดของผู้นำและสมาชิกพวกเขาเองทั้งสิ้น

บูกู หะรอม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ญะมาอะฮฺ อะฮฺลุสสุนนะฮฺ ลิดดะอฺวะฮฺ วัลญิฮาด’ เริ่มปฏิบัติการในปี 2001 โดยมีผู้นำจิตวิญญาณชื่อ อุสตาซ มุฮัมมัด ยูซุฟ (Mohammed Yusuf) เป็นผู้ก่อตั้งซึ่งเสียชีิวิตไปแล้วในปี 2009 เขาอ้างว่าเขามีแนวคิดสะละฟีย์และดำเนินตามแนวทางของอิมามอิบนุตัยมิยะฮฺ เช่นเดียวกันกับผู้นำคนที่สองที่ชื่อ อบูบักร เชเกา (Abubakar Shekau) แน่นอนสำหรับผู้ที่ศึกษาแนวคิดของชัยค์คุลอิสลาม อิบนุตัยมิยะฮฺ และเป็นสะละฟีย์อย่างแท้จริงนั้น ย่อมไม่อาจรับได้กับความเข้าใจของกลุ่มนี้ นี่ไม่ใช่แนวคิดและอุดมการณ์แห่งอิสลามอันงดงาม เป็นได้แค่ความสะเปะสะปะทางแนวคิดและการนำมาปฏิบัติ แอบอ้าง สุดโต่งและเป็นญะมาอะฮฺตักฟีรฺ (คิดว่าตัวเองเอาคนอื่นลงนรกได้) อย่างเต็มรูปแบบเท่านั้นเอง

ประเทศที่ยากจน การกดขี่ของต่างชาติ ประชาชนที่ไร้การศึกษา และความคิดความอ่านที่อันตราย เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของสิ่งมีอยู่แล้วก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะลุกไหม้ในประเทศแอฟริกากลางแห่งนี้ ซึ่งข่าวคราวที่ออกมา เรารับรู้แต่เพียงว่าฟางเส้นสุดท้ายอย่างชาวคริสเตียน สังหารหมู่ชาวมุสลิม?? เท่านั้นเอง.. ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเชื่อมโยงคริสตศาสนาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก ความยุติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องมอบให้แก่คนทุกคน นี่คืออิสลาม

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นนั้น แม้ประธานาธิบดีรักษาการ แซมบา-แพนซา อุละมาอ์ระดับสูงในประเทศ อิมามโกบิเน อุมัร ยาลามา (Kobin Omar Yalama) กระทั่งอาร์คบิชอป ดิโอดนเน่ ซาปาลาอินก้า (Dieudonné Nzapalainga) ผู้นำสูงสุดของชาวคริสเตียนในประเทศจะร่วมมือกันพยายามหยุดความโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ แต่ความป่าเถื่อนของกลุ่มนักรบคริสเตียนที่อ้างศาสนาในการต่อสู้อยู่นั้น อยู่นอกกฎหมายและไม่มีใครห้ามได้เลย คนเหล่านี้ป่าเถื่อน โหดเหี้ยม และอ้างศาสนาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง

ในเมืองบังกีขณะนี้นั้น เพียงใครก็ตามที่ดูเหมือนชาวมุสลิม ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะถูกฆ่าเสีย

“เขาดูเหมือนชาวมุสลิมคนหนึ่ง ผมหยิก มีลูกประคำร้อยที่ข้อมือ” พยานที่ชื่อ วิกเตอร์ กล่าวถึงศพเด็กหนุ่มชาวคริสเตียนคนหนึ่งที่ถูกฆ่าเพราะถูกคิดว่าเป็นชาวมุสลิม ข้อเท้าที่ยื่นออกมาจากผ้าที่คลุมศพเขาอยู่นั้น มีรอยกรีดลึกของใบมีดอย่างน่ากลัว “เพื่อให้เลือดออกเร็วขึ้น” ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต

“พอเสียที ทุกอย่างควรหยุดได้เเล้ว” วิกเตอร์พูดเบาๆ ภรรยาและน้องสาวของเธอร้องไห้อยู่หน้าศพของสามีตัวเอง “ฉันบอกเขาแล้วว่าไม่ให้ออกไป”

ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกปิดปากเงียบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยกเว้น แอมเนสตี้ (Amnesty International) และองค์กรเอ็นจีโอบางองค์กร สหประชาชาติยังคงลังเลที่จะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพลงไป กองกำลังสหภาพแอฟริกันและกองกำลังฝรั่งเศษที่ส่งเข้าไปกว่า 2000 คนนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เป็นเพียงเสือกระดาษที่บางส่วนก็ทำได้(หรือเต็มใจทำ)แต่เพียงมองการไล่ฟันกันในตลาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์กรสหภาพมุสลิมต่างๆที่ช้ากว่าคนอื่นอยู่เสมอ แม้เหยื่อในครั้งนี้จะเป็นพี่น้องร่วมศาสนาของเขาก็ตาม

องค์กรการกุศลด้านการแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) รายงานถึงการเสียชีวิตและจำนวนศพที่ถูกทำลายในเมืองหลวงบังกีว่า

“เราได้ทำการรักษาประชาชนจำนวนมากซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นผลมาจากการโจมตีโดยตรงและศาลเตี้ยที่มีอยู่ทั่วเมือง สัปดาห์ที่ผ่านมาเรารักษาผู้คนไปแล้ว 200 คน ในจำนวนนี้ 90 คน ต้องเข้ารับการผ่าตัด”

นี่ยังไม่นับชาวมุสลิมที่ถูกฆ่าขณะหนีอพยพออกจากเมืองบังกี หรือแม้กระทั่งขณะนั่งรถออกไปและถูกดึงลงมาตัดแขนตัดขาบนถนน เย้นหยันคนที่หนีรอดออกไป ผู้เสียชีวิตในลักษณะนี้ซึ่งปรากฏตามภาพข่าวแล้วนั้น มีจำนวนมากเช่นกัน

กระนั้นก็ตาม องค์กร MSF ยังวางแผนที่จะส่งความช่วยเหลือทางการแพทย์และมนุษยธรรมเข้าไปในเขตลึกของเมืองซึ่งยังคงไร้ผู้คนที่จะเข้าไปช่วยเหลือและประชาชนยังถูกคุกคามอยู่ เช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ‘Anti-Balaka’ ได้บุกเข้าไปในบ้านของชาวมุสลิมครอบครัวหนึ่ง พวกเขาได้ฆ่าเด็กและสตรี ปล้นสะดมและขโมยข้าวของทั้งหมดไป

ความรุนแรงด้านการเมืองซึ่งใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก่อให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 1000 กว่าคน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นมุสลิม ยังมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยที่กำลังอพยพไปประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิมด้วยกันโดยเฉพาะประเทศชาด แคเมอรูน อีกนับล้านคน จากจำนวน 4.6 ล้านคนทั่วประเทศ

นอกจากการเข่นฆ่า การทรมาน ลักพาตัวและจับกุมโดยพลการแล้ว สหประชาชาติยังตรวจพบหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีการก่อความรุนแรงทางเพศด้วย ยังมีกรณีที่น่าสยดสยองเช่นการกินเนื้อมนุษย์ (cannibalism) ซึ่งตามรายงานระบุว่ามีชาวคริสเตียนคนหนึ่งได้กินเนื้อจากศพของคนขับรถชาวมุสลิมคนหนึ่งที่ถูกฆ่าตายโดยกลุ่มชาวคริสเตียน.

ใส่ความเห็น